กระทรวงเกษตร ป่าไม้ และประมงของญี่ปุ่น ประกาศขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (Geographical Indications :GI) “สับปะรดห้วยมุ่น” ซึ่งเป็นผลไม้ไทยชนิดแรกที่ได้รับ GI ในประเทศญี่ปุ่น และเป็นสินค้ารายการที่ 3 ที่ได้รับการขึ้นทะเบียน GI ต่อจากกาแฟดอยช้าง และกาแฟดอยตุง พณ. ยินดี ญี่ปุ่นขึ้นทะเบียน GI “สับปะรดห้วยมุ่น” มอบหมายกรมทรัพย์สินทางปัญญาเดินหน้าสานต่อ
นายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ หารือ นายโยอิจิ วาตานาเบะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตร ป่าไม้ และประมงของญี่ปุ่น พร้อมรับมอบประกาศขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (Geographical Indications : GI) “สับปะรดห้วยมุ่น” ผลไม้ไทยรายการแรกที่ได้รับ GI ในญี่ปุ่น และได้เยี่ยมชมตลาดค้าส่งสินค้า ผัก ผลไม้ ดอกไม้ และอาหารทะเลที่ใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า “เป็นที่น่ายินดีที่ญี่ปุ่นประกาศรับขึ้นทะเบียน GI สับปะรดห้วยมุนเป็นตัวที่ 3 ต่อจากกาแฟดอยช้าง และกาแฟดอยตุง ภายใต้ความร่วมมือแลกเปลี่ยน
การขึ้นทะเบียน GI 3 + 3 ซึ่งเป็นเครื่องการันตีคุณภาพของสินค้าดังกล่าวได้เป็นอย่างดี ด้วยสับปะรดห้วยมุ่น เป็นสับปะรดพันธุ์ปัตตาเวียที่มีชื่อเสียง มีจุดเด่นในเรื่องของเนื้อสีน้ำผึ้งหนานุ่ม รสชาติหวานหอม และยังมีคุณค่าทางโภชนาการสูง ทำให้สับปะรดห้วยมุ่นเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคญี่ปุ่นและเป็นอีกหนึ่งสินค้าที่มีศักยภาพในการส่งออก โดยไทยมีผู้ประกอบการกว่า 850 ราย มีกำลังการผลิตกว่า 180,000 ตันต่อปี คิดเป็นมูลค่าการตลาดรวมกว่า 1,200 ล้านบาท จึงได้มอบหมายให้กรมทรัพย์สินทางปัญญาเร่งเดินหน้าสานต่อความร่วมมือในระยะที่ 2 เพื่อขยายตลาด GI ไทย ในญี่ปุ่นพร้อมทั้งได้หารือกับทางญี่ปุ่นเพื่อพัฒนาระบบการคุ้มครองสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ร่วมกันต่อไป”เดินหน้าขยายตลาดส่งออกผัก ผลไม้ไทยสู่ตลาดญี่ปุ่น
ตลาดสินค้าสับปะรดในญี่ปุ่นมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง ผู้บริโภคชาวญี่ปุ่นนิยมรับประทานสับปะรดสดที่มีรสชาติหวานฉ่ำ มีปริมาณการบริโภคของคนในประเทศปีละไม่ต่ำกว่า 180,000 ตัน รวมถึงสินค้าสับปะรดแปรรูป เช่น น้ำสับปะรด สับปะรดกระป๋อง และสับปะรดอบแห้ง แต่เนื่องจากสภาพภูมิอากาศในประเทศญี่ปุ่นไม่เหมาะกับการปลูกสับปะรด จึงมีการนำเข้าจากประเทศต่าง ๆ จำนวนมาก โดยไทยเป็นหนึ่งในประเทศคู่ค้าสำคัญที่ส่งออกสับปะรดมากเป็นอันดับ 4 รองจากฟิลิปปินส์ คอสตาริกา และอินโดนีเซีย ทั้งนี้ มีความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจไทย - ญี่ปุ่น (JTEPA) ที่ใช้เจรจาสิทธิประโยชน์ทางการค้าเพิ่มเติมให้กับสินค้าเกษตรรวมถึงสับปะรดจากไทย ในการลดภาษีนำเข้า เพื่อเพิ่มความได้เปรียบให้กับการส่งออกสับปะรดของประเทศได้
นายนภินทร กล่าวเพิ่มเติมว่า “ในครั้งนี้ได้มีโอกาสไปเยี่ยมชมตลาดขายส่งโอตะ (OTA Wholesale
Market) ซึ่งเป็นตลาดขายส่งผัก ผลไม้ ดอกไม้ และอาหารทะเลที่ใหญ่ที่สุดของประเทศญี่ปุ่นมีเงินหมุนเวียนในการซื้อขายกว่า 500 ล้านบาทต่อวัน เพื่อศึกษาการบริหารจัดการพื้นที่ กระบวนการประมูลสินค้าเกษตร และระบบการค้าส่งและโลจิสติกส์ และนำมาพัฒนาการทำตลาดกลางสินค้าเกษตรที่เป็นธรรมกับเกษตรกรโดยเฉพาะอย่างยิ่งเกษตรกรรายย่อย และผู้ค้าปลีกค้าส่งในไทย อีกทั้งยังเป็นการสำรวจช่องทางขยายตลาดผักผลไม้ไทยสู่ญี่ปุ่นได้มากยิ่งขึ้น”
สินค้า GI ยัง “ทำเงิน-ทำรายได้” ให้กับ “ผู้ผลิต” และ “เกษตร” อย่างต่อเนื่อง
กระทรวงพาณิชย์ โดย กรมทรัพย์สินทางปัญญา ได้ประกาศขึ้นทะเบียนสินค้า GI แล้ว 205 รายการ ตอนนี้ทุกจังหวัดมีสินค้า GI ขึ้นชื่อเป็นของตัวเอง และยังสามารถผลักดันให้ขึ้นทะเบียน GI
ในตลาดต่างประเทศได้แล้ว 8 รายการ กรมทรัพย์สินทางปัญญา ประเมินมูลค่าการตลาด รวมกันกว่า 71,000 ล้านบาทต่อปี และน่าจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ สถิติ “การส่งออก-การขายในประเทศ” ของสินค้าที่ GI ในปี 2566
ที่ผ่านมา ทำให้เห็นภาพสินค้า GI ตัวไหนโดดเด่น สินค้า GI ตัวไหนมีอนาคต และสินค้า GI ตัวไหนที่จะต้องเร่งส่งเสริมและผลักดันเพิ่มขึ้น
สำหรับสินค้า GI ที่ส่งออกและทำเงินเข้าประเทศได้มาก 10 อันดับแรก ได้แก่
1. ทุเรียนหมอนทองระยอง เป็นสินค้าส่งออกอันดับหนึ่ง มีมูลค่า 15,645 ล้านบาท มีตลาดสำคัญ คือ จีน
2. ทุเรียนสะเด็ดน้ำยะลา มูลค่า 4,890.2 ล้านบาท ตลาดสำคัญ คือ จีน และมาเลเซีย
3. มะพร้าวน้ำหอมราชบุรี มูลค่า 285 ล้านบาท ตลาดส่งออก คือ จีน สหรัฐฯ แคนาดา และฝรั่งเศส
4. มะม่วงน้ำดอกไม้สระแก้ว 107 ล้านบาท ตลาดสำคัญ คือ ฮ่องกง
5. มังคุดทิพย์พังงา มูลค่า 80.12 ล้านบาท ตลาด คือ จีน และเวียดนาม
6. มะม่วงน้ำดอกไม้สีทองบางคล้า (จ.ฉะเชิงเทรา) มูลค่า 35 ล้านบาท ตลาดเกาหลีใต้ และญี่ปุ่น
7. กล้วยหอมทองเพชรบุรี มูลค่า 24 ล้านบาท ตลาดญี่ปุ่น
8. ส้มโอท่าข่อยเมืองพิจิตร มูลค่า 10.4 ล้านบาท ตลาดจีน
9. กล้วยตากบางกระทุ่มพิษณุโลก มูลค่า 10 ล้านบาท ตลาดซาอุดิอาระเบีย ซีเรีย ตุรกี บรูไน มาเลเซีย ฮ่องกง เกาหลีใต้ สหรัฐฯ และนิวซีแลนด์
10. มะม่วงน้ำดอกไม้สีทองพิษณุโลก มูลค่า 9.45 ล้านบาท ตลาดญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และรัสเซีย
สินค้า GI ที่ส่งออกเป็นผลไม้ทั้งหมด ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผลไม้ไทยมีชื่อเสียงและเป็นที่ยอมรับของตลาดทั่วโลก สินค้า GI ได้ช่วยเพิ่มมูลค่าให้สูงขึ้น และช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคในเรื่องคุณภาพ มาตรฐาน สามารถตรวจสอบย้อนกลับถึงแหล่งที่มาได้