การบูลลี่กลั่นแกล้งกันเป็นพฤติกรรมไม่น่ารักที่มักพบเห็นกับบ่อยในสังคมต่างๆ โดยเฉพาะในรั้วโรงเรียน หลายครั้งเราเองก็จะได้เห็นข่าวน่าเศร้าเกี่ยวกับจากผู้ที่ถูกบูลลี่สะท้อนออกมาในเรื่องต่างๆ
อย่างกรณีล่าสุดที่มีงานเขียนของเด็กทีได้รับรางวัลเล่าเรื่องราวการถูกบูลลี่ เราเลยขอพาไปดูว่า การรับมือการถูกบูลลี่สามารถทำได้อย่างไร ไปจนถึงการสังเกตบุคคลใกล้ชิดเราว่าถูกบูลลี่หรือไม่ เพื่อจะได้เข้าไปช่วยเหลือได้ทันก่อนที่คนที่เรารักจะมีบาดแผลทางร่างกายและทางใจ
การกลั่นแกล้งคืออะไร
การลูลลี่ หรือหารกลั่นแกล้ง เป็นพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์และก้าวร้าวในเด็กวัยเรียนที่เกี่ยวข้องกับการใช้กำลัง พฤติกรรมนี้มีแนวโน้มที่จะมีการทำซ้ำเมื่อเวลาผ่านไป รวมถึงเด็กที่ถูกรังแกและรังแกผู้อื่นอาจมีปัญหาด้านสุขภาพจิตในอนาคตได้
เด็กที่กลั่นแกล้งมักใช้กำลังของพวกเขา เช่น กำลังกาย การเข้าถึงข้อมูลที่น่าอับอาย หรือใช้ความนิยมสวนตัว เพื่อควบคุมหรือทำร้ายผู้อื่น การกลั่นแกล้งรวมถึงการกระทำต่างๆ เช่น การข่มขู่ การแพร่กระจายข่าวลือ การโจมตีผู้อื่นทางร่างกายหรือทางวาจา และการกีดกันบุคคลออกจากกลุ่มโดยเจตนา
ประเภทของการกลั่นแกล้ง
การกลั่นแกล้งทางวาจา คือ การล้อเล่น การเรียกชื่อ ความคิดเห็นทางเพศที่ไม่เหมาะสม เหน็บแนมขู่ว่าจะก่อให้เกิดอันตราย
การกลั่นแกล้งทางสังคม บางครั้งเรียกว่าการกลั่นแกล้งทางสัมพันธ์ เป็นการทำร้ายชื่อเสียงหรือความสัมพันธ์ของใครบางคน ปล่อยให้ใครบางคนออกจากกลุ่มโดยเจตนา บอกเด็กคนอื่นว่าอย่าเป็นเพื่อนกับคนที่ถูกกลั่นแกล้ง กระจายข่าวลือเกี่ยวกับใครบางคน ทำให้ใครต่อใครอับอายในที่สาธารณะ
การกลั่นแกล้งทางร่างกาย เกี่ยวข้องกับการทำร้ายร่างกายหรือทรัพย์สินของบุคคล ให้บุคคลนั้นๆได้รับบาดเจ็บ หรือสร้างความเสียหาย
ผลกระทบจากการบูลลี่
ผลกระทบของการกลั่นแกล้ง แน่นอนอยู่แล้วว่าผู้ที่ถูกกลั่นแกล้งนั้นจะมีผลต่อสภาพจิตใจจนอาจนำไปสู่ภาวะซึมเศร้า ประสิทธิภาพการเรียนลดน้อยลง สูญเสียความมั่นใจ ชีวิตไม่มีความสุข และอาจนำพาไปถึงการฆ่าตัวตาย นอกจากนี้การกลั่นแกล้ง หรือการบูลลี่ไม่เพียงแต่จะกระทบกับสภาพจิตใจของผู้ที่ถูกแกล้งเท่านั้น แต่พฤติกรรมดังกล่าวยังส่งผลต่อผู้ที่กลั่นแกล้งด้วย เช่น เมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่มีแนวโน้มที่จะใช้สารเสพติด มีพฤติกรรมการใช้ความรุนแรง และอาจร้ายแรงถึงขั้นอาจก่อเหตุอาชญากรรมขึ้นได้ในอนาคต
รับมือกับการบูลลี่
ใช้ความนิ่งสยบการบูลลี่ : การนิ่งเฉยต่อการบูลลี่ช่วยให้เรื่องราวการบูลลี่หายไปอย่างรวดเร็ว เนื่องจากผู้กระทำมักมีเจตนาให้เหยื่อตอบโต้ เพื่อสร้างกระแสความรุนแรง หรือเพิ่มความสะใจ แต่เมื่อผู้ถูกกระทำเลือกที่จะนิ่งเฉย ผู้ลงมือบูลลี่อาจรู้สึกเบื่อและถอยทัพไปเองในที่สุด
ตอบโต้อย่างสุภาพ : ด้วยคำพูดและการแสดงออกว่าไม่ได้รู้สึกสนุก หรือไม่ชอบการกระทำรวมถึงวาจาต่างๆ ที่ถูกกล่าวถึงด้วยคำพูดและท่าทีสุภาพ ไม่ตะโกน ขึ้นเสียง หรือใช้คำหยาบคาย รวมถึงชี้แจงอย่างชัดเจนหากเรื่องที่ถูกกล่าวหาไม่เป็นจริง
พูดคุยกับเพื่อนร่วมชะตากรรมเพื่อช่วยกันแก้ไข : บางครั้งการถูกบูลลี่ไม่ได้เกิดขึ้นกับบุคคลเพียงคนเดียว การหาผู้ร่วมถูกกระทำจะเป็นการเพิ่มหลักฐานและพยานว่า ผู้บูลลี่สร้างเรื่องขึ้นทำร้ายเหยื่อมากกว่าจะเป็นเรื่องจริง นอกจากนี้เพื่อนร่วมชะตากรรมอาจเป็นที่ปรึกษาคลายทุกข์ได้เป็นอย่างดี
เปลี่ยนสิ่งแวดล้อม : หากการบูลลี่นั้นทำร้ายร่างกายหรือจิตใจจนยากยอมรับ การเปลี่ยนที่ทำงาน กลุ่มเพื่อน ก็อาจช่วยฟื้นฟูภาวะบอบช้ำจากการถูกบูลลี่ได้เร็วขึ้น
ปรึกษานักจิตวิทยาหรือจิตแพทย์ : หลายครั้งที่การบูลลี่ล้ำเส้นเหยื่อจนกัดกินจิตใจ สร้างบาดแผล จนผู้ถูกกระทำไม่สามารถอยู่ในสังคมต่อไป บางกรณีอาจกลายเป็นความเครียด ปลีกตัวจากสังคม ไปจนถึงขั้นเก็บกด เป็นโรคซึมเศร้า และจบลงด้วยการฆ่าตัวตาย ดังนั้นทางออกที่ดีคือการพบผู้เชี่ยวชาญไม่ว่าจะเป็นนักจิตวิทยา หรือจิตแพทย์ เพื่อปรึกษา ทำการรักษาอย่างถูกวิธีและมีประสิทธิภาพ
สัญญาณของผู้ที่โดนบูลลี่
เมื่อการบูลลี่ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงแค่ในโรงเรียน เราจึงต้องหันมาใส่ใจคนในครอบครัว หรือคนรอบข้างเพื่อป้องกันไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของการบูลลี่ โดยสัญญาณของผู้ที่กำลังเผชิญกับปัญหาการบูลลี่ คือ หงุดหงิด เกิดความวิตกกังวล มีความกลัว ไม่อยากไปโรงเรียน หรือไม่อยากไปทำงาน มีร่องรอยการถูกทำร้าย เป็นต้น ผู้ปกครอง หรือคนใกล้ชิดควรพูดคุยเพื่อหารือถึงแนวทางในการแก้ปัญหา
ที่มา: stopbullying.gov , โรงพยาบาลเพชรเวช , โรงพยาบาลสมิติเวช