2 พ.ย.66 - ค้นพบจารึกโบราณสำคัญกลางเมืองเชียงใหม่ที่สูญหายไปกว่า 40 ปี จนมีคนตามหา ล่าสุดพบกลางแหล่งท่องเที่ยวช็อปปิ้งชื่อดังกลางเมืองเชียงใหม่ “ประตูท่าแพ”
“ประตูท่าแพ” หนึ่งใน Landmark สำคัญที่นักท่องเที่ยวที่ไปเยือนเชียงใหม่ต้องไปเยือน เพราะเป็นที่รวมจุดท่องเที่ยวสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นจุดถ่ายรูป จุดชมวิว จุดช็อปปิ้ง นอกจากกการเป็นจุดสำคัญที่นักท่องเที่ยวทุกคนที่ไปเชียงใหม่ต้องไปเยือนแล้วแล้ว ประตูท่าแพยังเป็นหนึ่งในประวัติศาสตร์สำคัญของล้านนาเชียงใหม่อีกด้วย
โดยประตูท่าแพดั้งเดิมนั้นสร้างในสมัย พญามังราย ปฐมกษัตริย์แห่งเมืองล้านนา ในปี พ.ศ. 1839 โดยใช้สำหรับการป้องกันเมืองเชียงใหม่ชั้นใน โดยทำเนียมของการสร้างเมืองล้านนานั้น ทุกประตูเมืองจะมีจารึกเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่รักษาประตูเมือง แต่สำหรับจารึกของประตูท่าแพกลับหายไปเป็นเวลากว่า 40 ปี นับตั้งแต่การบูรณะครั้งใหญ่ของประตูท่าแพในช่วงปี พ.ศ.2528 – พ.ศ 2530 ที่จารึกของประตูท่าแพ หรือ "จารึกเสาอินทขีลประตูท่าแพ" หายสาปสูญไป ค้นไม่พบ พบเพียงภาพถ่ายและภาพพิมพ์ของตัวอักษรที่จารึกไว้ ที่ยังเก็บรักษาไว้ในฐานข้อมูลจารึกในประเทศไทย ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) แต่สำหรับตัวจารึกนั้นหาไม่พบ
ต่อมาเมื่อมีการค้นหาถึงตัวจารึกมีกลุ่มนักวิชาการบางส่วนให้ข้อมูลว่า จารึกดังกล่าวเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเชียงใหม่ แต่เมื่อไปค้นหาก็หาไม่พบ สำนักศิลปากรที่ 7 เชียงใหม่ จึงได้ประสานข้อมูลกับภาคส่วนต่าง ๆ จนทำให้เริ่มพบเบาะแสของจารึกประตูท่าแพ ซึ่งไม่มีผู้ใดพบเห็นเลย ตลอดระยะเวลาเกือบ 4 ทศวรรษ จนกระทั่งเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2566 สำนักศิลปากรที่ 7 เชียงใหม่ นำโดย นายเทอดศักดิ์ เย็นจุระ ผู้อำนวยการกลุ่มอนุรักษ์โบราณสถาน พร้อมด้วย ผู้แทนเทศบาลนครเชียงใหม่ ผู้แทนคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ผู้แทนคณะวิจิตรศิลป์ ผู้แทนคลังข้อมูลจารึกล้านนา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และนักวิชาการท้องถิ่น ร่วมกันเปิดประตูห้องที่ซ่อนอยู่ภายในโครงสร้างประตูท่าแพปัจจุบัน ซึ่งไม่ได้เปิดมาตลอดระยะเวลาหลายสิบปี และเข้าไปทำการสำรวจภายในจนพบว่า "จารึกประตูท่าแพ" หรือ "จารึกเสาอินทขีลประตูท่าแพ" ยังคงปักยืนตระหง่าน ซ่อนตัวอยู่ภายในโครงสร้างประตูท่าแพ จนกระทั่งปัจจุบัน
สำหรับความสำคัญของจารึกประตูท่าแพ จากการศึกษาของ ศ. ประเสริฐ ณ นคร อดีตนายกราชบัณฑิตยสถาน พบว่า เป็นจารึกอักษรธรรมล้านนา ตารางบรรจุตัวเลข และวงดวงชะตา ข้อความอักษรเมื่อถูกกลับให้ถูกทิศทางแล้ว ถอดความตามส่วนดังนี้ ข้างบนมีข้อความว่า "อินทขีล มังค (ล) โสตถิ" ข้างซ้ายมีข้อความว่า "อินทขีล สิทธิเชยย" ข้างขวามีข้อความว่า "อิน...." และข้างล่างมีข้อความว่า "อินทขีล โสตถิ มังคล" โดยคำสำคัญที่ปรากฏในจารึกหลักดังกล่าวว่า "อินทขีล" เป็นภาษาบาลี แปลว่า เสาเขื่อน เสาหลักเมือง หรือธรณีประตู จึงสรุปนัยสำคัญได้ว่า จารึกหลักนี้ มีความสำคัญในฐานะเสาประตูเมือง
นอกจากข้อความข้างต้นแล้ว จารึกประตูท่าแพยังมีความพิเศษตรงที่ เทคนิคการทำจารึก ซึ่งแต่เดิมจารึกด้านที่ 1 ไม่มีผู้ใดสามารถอ่านได้ตลอดระยะเวลาหลายสิบปี จนกระทั่งในช่วง พ.ศ. 2529 รศ.เรณู วิชาศิลป์ แห่งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้ค้นพบและเสนอว่าเป็นจารึกตัวหนังสือกลับ คล้ายดังเป็นเงาในกระจก จึงสามารถอ่านจารึกประตูท่าแพได้
•
สำนักศิลปากรที่ 7 เชียงใหม่ ขอขอบคุณผู้มีส่วนร่วมสำคัญในการค้นพบจารึกหลักสำคัญที่หายไป ประกอบด้วย ศาสตราจารย์เกียรติคุณสุรพล ดำริห์กุล, พ่อครูศรีเลา เกษพรหม ศูนย์การเรียนรู้จารึกและเอกสารโบราณ, เทศบาลนครเชียงใหม่, คุณอรช บุญ-หลง คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, ผศ. ดร. ปรัชญา คัมภิรานนท์และ ผศ.กรรณ เกตุเวต คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, และ ดร.อภิรดี เตชะศิริวรรณ คลังข้อมูลจารึกล้านนา สำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
•
การค้นพบจารึกประตูท่าแพครั้งนี้ จึงเป็นการการเติมเต็มตัวประวัติศาสตร์ให้กับประตูท่าแพ ให้เป็นมากกว่าแหล่งท่องเที่ยวในปัจจุบัน เป็นแหล่งประวัติศาสตร์ที่มีที่มาชัดเจนยิ่งขึ้น
•
ขอขอบคุณภาพและข้อมูล : สำนักศิลปากรที่ 7 เชียงใหม่