25 เม.ย.66 - ปลัด มท. ร่วมงานรัฐพิธี ครบ 418 ปี วันคล้ายวันสวรรคตสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ที่จังหวัดพิษณุโลก
ที่ศาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราช พระราชวังจันทน์ อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธีบำเพ็ญกุศลทักษิณานุปทานอุทิศถวายเป็นพระราชกุศลครบรอบ 418 ปีวันคล้ายวันสวรรคตสมเด็จพระนเรศวรมหาราช 25 เมษายน 2566 และพิธีบวงสรวงพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราชและสังเวยเทพารักษ์ประจำเมืองพิษณุโลก เนื่องในการจัดงานรัฐพิธี วันคล้ายวันสวรรคตสมเด็จพระนเรศวรมหาราช จังหวัดพิษณุโลก ประจำปี 2566
โอกาสนี้ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย จุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย แล้วนำข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ทอดผ้าไตรบังสุกุล กรวดน้ำรับพร แล้วจุดธูปเทียนบูชาเครื่องสังเวย โหรพราหมณ์อ่านคำบวงสรวง เสร็จแล้ว โปรยข้าวตอกดอกไม้ เป็นอันเสร็จพิธี ซึ่งการจัดพิธีฯ ในครั้งนี้ เป็นการอัญเชิญเทวรูปเทพารักษ์เมืองพิษณุโลก มาประดิษฐานเพื่อให้ประชาชนสักการะครั้งแรก ในรอบ 58 ปี ภายหลังจากได้อัญเชิญจากพระราชวังจันทน์ไปประดิษฐาน ณ ศาลากลางจังหวัดพิษณุโลก และบริเวณวิหารด้านทิศเหนือ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระพุทธชินราช
นายภูสิต สมจิตต์ ผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก กล่าวว่า สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงเป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระมหาธรรมราชา และพระวิสุทธิกษัตริย์ มีพระสุพรรณกัลยาเป็นพระเชษฐภคินี และสมเด็จพระเอกาทศรถเป็นพระอนุชา และทรงเป็นพระราชนัดดาของสมเด็จพระศรีสุริโยทัย ทรงพระราชสมภพเมื่อปีพุทธศักราช 2098 ณ พระราชวังจันทน์ จังหวัดพิษณุโลก พระองค์ทรงเป็นวีรกษัตริย์ที่ทรงพระปรีชาสามารถอย่างล้ำเลิศ ประเสริฐทั้งพระอัจฉริยภาพและเชี่ยวชาญในการรบ ทรงตรากตรำพระวรกายในการทำศึกสงครามตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์โดยมิได้ว่างเว้นนับแต่พระชนมายุ 16 พรรษา เป็นต้นมา
"ในปีพุทธศักราช 2127 สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงประกาศอิสรภาพที่เมืองแครง กรุงศรีอยุธยาจึงขาดไมตรีกับกรุงหงสาวดี ถือได้ว่าเป็นการประกาศอิสรภาพของคนไทย หลังจากนั้นก็ได้กรีฑาทัพเข้าสู่ชานเมืองหงสาวดีและรวบรวมคนไทยกลับมาได้ อีกทั้งยังสามารถใช้พระแสงปืนยาวยิงข้ามแม่น้ำสะโตงถูกแม่ทัพของพม่าที่ติดตามมาซึ่งนั่งอยู่บนคอช้างจนเสียชีวิต ทำให้ทัพพม่าถอยกลับไป และพระแสงปืนที่ทรงใช้ในวันนั้น ได้ปรากฏนามว่า "พระแสงปืนต้นข้ามแม่น้ำสะโตง" ซึ่งถือเป็นอาวุธที่จัดอยู่ในพระแสงอัษฎาวุธ อันเป็นเครื่องราชูปโภคสำหรับพระมหากษัตริย์สืบมาจนบัดนี้ และในปีเดียวกันยังทรงได้รับชัยชนะในการทำสงครามกับพระยาพะสิมที่เมืองกาญจนบุรี"
ต่อมาในปีพุทธศักราช 2129 พระเจ้านันทบุเรง ยกทัพใหญ่มาล้อมกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงใช้วิจารณญาณอันล้ำเลิศ วางแผนป้องกันเมือง โดยการจัดกองโจรออกไปตีปล้นข้าศึก พม่าได้ล้อมกรุงศรีอยุธยา นานถึงห้าเดือน แต่ไม่สามารถเข้าตีได้ จึงล่าถอยทัพกลับไป แต่กระนั้น กรุงศรีอยุธยาก็ว่างศึกได้เพียงสามปีจนล่วงถึงปีพุทธศักราช 2133 สมเด็จพระนเรศวรมหาราช เสด็จขึ้นครองราชย์ พระเจ้านันทบุเรง ได้ยกทัพเข้าตีกรุงศรีอยุธยาอีกครั้งหนึ่ง แต่ก็ไม่สามารถเข้าตีได้ จึงล่าถอยทัพกลับไป
และในปีพุทธศักราช 2135 พระเจ้านันทบุเรง โปรดให้พระมหาอุปราชานำกองทัพสองแสนสี่หมื่นคนมาตีกรุงศรีอยุธยา หมายจะชนะศึกในครั้งนี้ให้ได้ แต่เมื่อวันที่ 18 มกราคม พุทธศักราช 2135 สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ได้ทรงกระทำยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชาจนได้รับชัยชนะทำให้กองทัพพม่าแตกพ่ายไป ทำให้พระบรมเดชานุภาพของพระองค์ แผ่ไพศาลไปทั่วปฐพี และหลังจากเสร็จศึกสงครามยุทธหัตถี ได้ทรงปราบปรามหัวเมืองมอญฝ่ายใต้ ได้เมืองตะนาวศรี มะริด และทวาย และในปีพุทธศักราช 2142 ทรงกรีฑาทัพไปตีเมืองหงสาวดี ได้เมืองเมาะลำเลิง แล้วทรงยกทัพไปถึงเมืองหงสาวดีและเมืองตองอู จนหัวเมืองไทยใหญ่ทั้งปวง ยอมขึ้นต่อกรุงศรีอยุธยา จนถึงในปีพุทธศักราช2148 สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงยกทัพไปยังเมืองห้างหลวง เหนือเมืองเชียงใหม่ และประชวรหนัก กระทั่งเสด็จสวรรคต เมื่อวันจันทร์ ขึ้น 8 ค่ำ เดือน 6 ปีมะเส็ง ตรงกับวันที่ 25 เมษายน พุทธศักราช 2148 รวมพระชนมายุ 50 พรรษา อยู่ในราชสมบัติ 15 ปี
•
"แม้พระองค์จะได้เสด็จสวรรคต ล่วงมานานกว่า 418 ปีแล้วก็ตาม แต่พสกนิกรชาวไทยทั้งมวลต่างสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณและพระเกียรติคุณของพระองค์ท่านที่ทรงพระปรีชาสามารถกล้าหาญ เด็ดเดี่ยว ต่อสู้ขับไล่อริราชศัตรูของชาติมาตลอดพระชนม์ชีพ เพื่อสร้างความเป็นเอกราชให้กับชาติไทย เป็นมหาวีรกรรมที่เลื่องลือปรากฏอยู่ในประวัติศาสตร์ ตราบจนทุกวันนี้ และขอน้อมถวายราชสดุดีแด่พระองค์ท่าน ด้วยความสำนึกในพระเกียรติคุณอันยิ่งใหญ่ ตลอดสิ้นกาลนานเทอญ"