นายฉันทานนท์ วรรณเขจร เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายอรรถกร ศิริลัทธยากร) เป็นผู้แทนเข้าร่วม การประชุมรัฐมนตรีความมั่นคงอาหารเอเปค ประจำปี 2568 (APEC 2025 Food Security Ministerial Meeting) เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2568 ณ เมืองอินชอน สาธารณรัฐเกาหลี โดยมี H.E. Song Miryung รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร อาหาร และพัฒนาชนบท สาธารณรัฐเกาหลี เป็นประธานการประชุม พร้อมด้วยรัฐมนตรีความมั่นคงอาหารเอเปครวม 21 เขตเศรษฐกิจเข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีความมั่นคงอาหารเอเปค เป็นการแสดงเจตนารมณ์ด้านความมั่นคงอาหารร่วมกันของรัฐมนตรีความมั่นคงอาหารเอเปค โดยในปีนี้จัดขึ้นภายใต้หัวข้อ “Driving Innovation in Agri-food Systems for Shared Prosperity” ซึ่งรัฐมนตรีความมั่นคงอาหารเอเปค ได้แสดงวิสัยทัศน์และแลกเปลี่ยนมุมมองด้านนวัตกรรมในระบบเกษตรและอาหาร รวมถึงร่วมกันหาแนวทางความร่วมมือเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงอาหารในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก โดยที่ประชุมได้ร่วมรับรองแถลงการณ์ร่วมรัฐมนตรีความมั่นคงอาหารเอเปค ประจำปี 2568 ซึ่งถือเป็นเอกสารผลลัพธ์สำคัญในการกำหนดทิศทางการเสริมสร้างระบบเกษตรและอาหารให้มีความยืดหยุ่น ยั่งยืน และครอบคลุม โดยมุ่งเน้นการขับเคลื่อนผ่านนวัตกรรม เทคโนโลยีดิจิทัล และความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน เพื่อรับมือกับความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ภัยธรรมชาติ และความปั่นป่วนของห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งนับได้ว่าเป็นการส่งสัญญาณความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ในการส่งเสริมความมั่นคงอาหารในภูมิภาค รวมถึงบทบาทของไทยในเวทีระหว่างประเทศด้วย
โอกาสนี้ เลขาธิการ สศก. ได้แสดงวิสัยทัศน์ต่อนวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัลในภาคเกษตร โดยย้ำว่า ‘นวัตกรรมไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นความจำเป็น’ พร้อมชูนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่จะช่วยส่งเสริมความมั่นคงอาหารในภูมิภาค ได้แก่ (1) การยกระดับสินค้าเกษตรและบริการมูลค่าสูง ด้วยการพัฒนาคุณภาพการผลิตผ่านการใช้เทคโนโลยีในกระบวนการแปรรูปและบรรจุภัณฑ์ รวมถึงการสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่งเพื่อเข้าสู่ตลาดต่างประเทศ (2) การเสริมสร้างศักยภาพให้เกษตรกรและสหกรณ์ ด้วยการสร้าง Smart Farmers สนับสนุนการเข้าถึงเงินทุนเพื่อใช้เครื่องจักรกล และพัฒนาสหกรณ์ให้เป็นศูนย์บริการเกษตรครบวงจร และ (3) การสร้างความยืดหยุ่นและความพร้อมรับมือวิกฤต ด้วยมาตรการเตรียมความพร้อมและการปรับตัวต่อภัยพิบัติและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศผ่านการใช้เทคโนโลยี
นอกจากนี้ เลขาธิการ สศก. ยังได้เน้นบทบาทของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ว่าเป็นตัวเปลี่ยนเกมของภาคการเกษตรในปัจจุบัน เนื่องด้วยศักยภาพของ AI จะช่วยเพิ่มผลผลิต ลดการสูญเสีย ส่งเสริมการใช้น้ำและดินอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการวางแผนด้านการตลาดอย่างแม่นยำ พร้อมกันนี้ ได้ย้ำว่า นวัตกรรมและเทคโนโลยีเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการพัฒนาภาคการเกษตร แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือทุกภาคส่วนต้องร่วมมือและขับเคลื่อนในการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีไปใช้ให้ถูกวิธีและเหมาะสม ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า ความร่วมมือระดับภูมิภาคเป็นหัวใจสำคัญของการเปลี่ยนแปลงและนำไปสู่การพัฒนาที่ประสบผลสำเร็จ โดยไทยพร้อมให้ความร่วมมือและแลกเปลี่ยน องค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อสร้างระบบเกษตรและอาหารที่ยั่งยืน ยืดหยุ่น และเข้มแข็ง
“การเข้าร่วมประชุมครั้งนี้จึงไม่ใช่เพียงการแสดงนโยบายของภาคการเกษตรไทยสู่เวทีเอเปคเท่านั้น แต่ยังเป็นการตอกย้ำวิสัยทัศน์และจุดยืนของประเทศไทยที่เชื่อมั่นว่า นวัตกรรม เทคโนโลยี และ AI จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการเสริมสร้างศักยภาพให้แก่เกษตรกรและภาคเกษตร แต่หัวใจที่สำคัญยิ่งกว่าคือ ‘คน’ และ ‘ความร่วมมือ’ ในการขับเคลื่อนและนำเทคโนโลยีไปใช้อย่างถูกวิธีและเหมาะสม เพื่อนำไปสู่เป้าหมายสูงสุดคือการสร้างความมั่นคงทางอาหารร่วมกันในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” เลขาธิการ สศก. กล่าว