X
แพทย์ ย้ำเตือน ติดเชื้ออีสุกอีใส ไม่ใช้ แอสไพริน อาจถึงตาย

แพทย์ ย้ำเตือน ติดเชื้ออีสุกอีใส ไม่ใช้ แอสไพริน อาจถึงตาย

31 ส.ค. 2565
1250 views
ขนาดตัวอักษร

สถาบันสุขภาพเด็กฯ เตือนโรคอีสุกอีใส เกิดจากเชื้อไวรัส ชนิดเดียวกับ งูสวัด แพร่กระจายได้ง่ายมาก เชื้ออยู่ในอากาศได้นาน การป้องกันเป็นเรื่องยาก ส่วนใหญ่ ผื่นจะขึ้นที่ลำตัว และใบหน้า ผู้ป่วยเด็กโต และผู้ใหญ่ พบติดเชื้อแทรกซ้อนได้บ่อย อาจติดเชื้อในกระแสเลือด ย้ำ..มีไข้ ไม่ควรใช้ แอสไพริน เพราะอาจเกิดอาการกับ สมองและตับ ทำให้ถึงตายได้

เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2565 กรมการแพทย์ แนะโรคอีสุกอีใส เป็นโรคไข้ออกผื่น จะมีอาการไข้ และผื่นตุ่มน้ำใสที่ผิวหนังทั่วร่างกาย มักพบที่ลำตัว และใบหน้ามากกว่า บริเวณแขนขา บางราย อาจมีอาการทาง ระบบทางเดินหายใจ และระบบอื่น ๆ ร่วมด้วย พบได้บ่อยในเด็ก บางครั้ง อาจพบภาวะแทรกซ้อน ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้



นายแพทย์วีรวุฒิ อิ่มสำราญ รองอธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า สาเหตุของโรคอีสุกอีใส เกิดจากเชื้อไวรัส ที่มีชื่อว่า ไวรัสวาริเซลลา (varicella virus) เป็นเชื้อไวรัส ชนิดเดียวกับที่ทำให้เกิด งูสวัด

โรคอีสุกอีใส จะมีอาการไข้ ปวดเมื่อยตามเนื้อตัว คล้ายไข้หวัด และผื่นตุ่มน้ำใสที่ผิวหนัง ไข้จะสูง หรือน้อย และตุ่ม จะมีจำนวนมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับอายุ เด็กจะมีเพียงไข้ต่ำ ๆ และมีตุ่มจำนวนน้อย ในขณะที่เด็กโต และผู้ใหญ่ มักมีไข้สูง และตุ่มจำนวนมาก ผื่นในโรคอีสุกอีใส มีลักษณะเฉพาะ คือ ผื่นจะเริ่มจากตุ่มแดง กลายเป็นตุ่มใส และแตกออก เป็นสะเก็ด เมื่อผื่นขึ้นแล้ว 2 - 3 วัน จะเห็นตุ่มหลายชนิด ในเวลาเดียวกัน



ส่วนใหญ่ ผื่นจะขึ้นที่ลำตัว และใบหน้า มากกว่าแขนขา เด็กที่ป่วยเป็น อีสุกอีใส จะมีอาการ ไม่รุนแรง และพบภาวะแทรกซ้อน ทางปอด และทางสมอง ได้น้อยกว่า ผู้ป่วยเด็กโต อายุมากกว่า หรือเท่ากับ 13 ปี และผู้ใหญ่ แต่พบการติดเชื้อแบคทีเรีย แทรกซ้อนที่ผิวหนังได้บ่อย ทำให้เกิดแผลเป็นที่ผิวหนัง และอาจถึงขั้น ทำให้เกิดการติดเชื้อ ในกระแสเลือดตามมา

โรคอีสุกอีใส สามารถแพร่กระจาย ไปยังผู้อื่นได้ง่ายมาก เพราะเชื้ออยู่ในอากาศได้เป็นเวลานาน และผู้ป่วยอีสุกอีใส สามารถแพร่กระจายเชื้อไปยัง คนอื่นได้หลายวัน ตั้งแต่ 1 - 2 วัน ก่อนมีไข้ และผื่น จนถึงเมื่อตุ่มสุดท้าย ตกสะเก็ด หรือประมาณ 7 วัน หลังจากผู้ป่วย เริ่มมีอาการ



นายแพทย์อดิศัย ภัตตาตั้ง ผู้อำนวยการ สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี กล่าวเพิ่มเติมว่า โรคอีสุกอีใส เป็นโรคที่หายเองได้ อาจจะมีไข้เพียงไม่กี่วัน ส่วนตุ่ม จะตกสะเก็ด และค่อย ๆ หายใน 1 - 3 สัปดาห์ ผู้ป่วยจึงควรพักผ่อนให้เพียงพอ และดื่มน้ำมาก ๆ ถ้ามีไข้สูง ใช้ยา เพื่อลดไข้ได้ ไม่ควรใช้ แอสไพริน เพราะอาจทำให้เกิดอาการ ทางสมอง และตับ ทำให้ถึงตายได้

ควรอาบน้ำ และใช้สบู่ ฟอกผิวหนังให้สะอาด ควรตัดเล็บให้สั้น และหลีกเลี่ยงการแกะเกา เพราะอาจทำให้ติดเชื้อได้ ในรายที่คันมาก ๆ อาจให้ยาแก้คัน ช่วยลดอาการคัน

การป้องกันโรคอีสุกอีใส เป็นเรื่องยาก เพราะผู้ป่วย สามารถแพร่เชื้อ ไวรัสอีสุกอีใส ให้ผู้อื่นได้ ตั้งแต่ช่วงออกอาการไข้ ไปจนถึงช่วงแผลแห้ง ตกสะเก็ด

ดังนั้นทางป้องกัน คือ ถ้าบุตรหลานป่วยเป็น อีสุกอีใส ต้องงดไปโรงเรียน ป้องกันไม่ให้แพร่เชื้อให้คนอื่น และการฉีดวัคซีน อีสุกอีใส ซึ่งเป็นวัคซีนทางเลือก สำหรับเด็ก 1 ปีขึ้นไป

#กรมการแพทย์ #สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี #อีสุกอีใส


#BackboneMCOT
อ้างอิง และขอบคุณข้อมูล จาก :

เว็บไซต์ : กรมการแพทย์
https://www.dms.go.th

เฟซบุ๊ก : กรมการแพทย์
https://www.facebook.com/100069182200543

เฟซบุ๊ก : สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข
https://www.facebook.com/Mordekchannel

เว็บไซต์ : สำนักสารนิเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข
https://pr.moph.go.th



อ่านความคิดเห็นของเพื่อนๆ ..คิดอย่างไรกับเรื่องนี้ เขียนเลย
Terms of Service © 2025 MCOT.net All rights reserved นโยบายข้อมูลส่วนบุคคล นโยบายการรักษาความมั่นคงปลอดภัยเว็บไซต์ นโยบายเว็บไซต์ของ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน)