นายพิเชษฐ สิทธิอำนวย กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) หรือ หลักทรัพย์บัวหลวง เปิดเผยว่า แนวโน้มธุรกิจหลักทรัพย์ในปี 2566 คาดว่าจะเข้าสู่ภาวะปกติ หลังจากสถานการณ์เศรษฐกิจในภาพรวม โดยเฉพาะเศรษฐกิจโลกเริ่มคลี่คลายทั้งเรื่องเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ย เศรษฐกิจในประเทศจะได้รับประโยชน์จากการที่จีนเปิดประเทศเร็วกว่าคาด หนุนภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัวชัดเจน นอกจากนี้การกำหนดให้มีการเลือกตั้งใหญ่ จะส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจคึกคักหากรัฐบาลใหม่มีสเถียรภาพ ทำให้เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังกลับมาฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว
สำหรับทิศทางการดำเนินธุรกิจของบริษัทในปี 2566 นี้ ยังคงเน้นการรักษาความเป็นหนึ่งในผู้นำด้านธุรกิจหลักทรัพย์ของประเทศไทยที่มุ่งตอบโจทย์ลูกค้าในทุกสายธุรกิจ โดยในปี 2565 บริษัทมีรายได้รวม 3,934 ล้านบาท มีกำไรสุทธิสูงถึง1,138 ล้านบาท และมีความแข็งแกร่งของเงินกองทุนกว่า 9,300 ล้านบาท
“ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ธุรกิจหลักทรัพย์มีความผันผวนสูง โดยเฉพาะจากปัจจัยภายนอกประเทศที่มีผลต่อการซื้อขายของนักลงทุน สำหรับปีนี้สถานการณ์เริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ ขณะที่หลักทรัพย์บัวหลวงมีผลกำไรที่ดีเนื่องจากได้รับความไว้วางใจจากลูกค้า ทั้งลูกค้าเก่าที่ยังคงทำการซื้อขายกับบริษัทอย่างต่อเนื่อง และลูกค้าใหม่ที่มีการเปิดบัญชีกับบริษัทเนื่องจากการที่เรามีเครื่องมือและบริการต่าง ๆ ตอบโจทย์นักลงทุนครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย” นายพิเชษฐกล่าว
สำหรับงานด้านวาณิชธนกิจ บริษัทยังประสบผลสำเร็จในการนำบริษัทจดทะเบียนเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากนักลงทุน โดยล่าสุด ได้แก่ บริษัท เมพ คอร์ปอรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ MEB และปีนี้จะมีการนำบริษัทจดทะเบียนเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯอีก 3 – 4 ราย อยู่ในอุตสาหกรรมอาหาร รถยนต์ และสุขภาพ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ยังได้รับความสนใจจากนักลงทุน
นายพิเชษฐ กล่าวว่า สถานการณ์การแข่งขันของธุรกิจหลักทรัพย์ในประเทศไทย ยังคงรุนแรงอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามหลักทรัพย์บัวหลวงมีความแข็งแกร่งและได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนเสมอมา โดยเฉพาะในเรื่องความเชื่อมั่น ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนเลือกพิจารณา ด้วยสถานะการเงินที่แข็งแกร่ง รวมถึงการเป็นบริษัทในเครือของธนาคารกรุงเทพ ที่นอกจากทำให้มีความน่าเชื่อถือสูง ยังมีการบูรณาการความร่วมมือของสององค์กรในการขยายเครือข่ายฐานลูกค้าระหว่างกัน ทำให้บริษัทยังคงรักษาความเป็นหนึ่งในผู้นำตลาดในด้านส่วนแบ่งรายได้ค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ โดยในปี 2565 บริษัทมีส่วนแบ่งรายได้ค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์อยู่ในสัดส่วนสูงถึงราว 10 %
“ภาวะการแข่งขันในธุรกิจหลักทรัพย์ น่าจะยังคงอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง โดยเฉพาะการเข้ามาของบริษัทหลักทรัพย์รายใหม่ซึ่งจะยิ่งทำให้เราต้องพัฒนาในทุก ๆ ด้าน เพื่อให้ลูกค้าได้รับบริการที่ดีที่สุด นอกจากการแข่งขันจากโบรกเกอร์ด้วยกันเองแล้ว ยังมีผู้ประกอบการในรูปแบบใหม่ในกลุ่มฟินเทคอีกด้วย ซึ่งหลักทรัพย์บัวหลวงยังคงเน้นไปที่การให้บริการที่ดี ไม่ว่าจะเป็นการดูแลเอาใจใส่ลูกค้าคอยให้คำปรึกษาที่ดีจากผู้แนะนำการลงทุน รวมถึงการมีบทวิเคราะห์ที่มีคุณภาพจากนักวิเคราะห์ของบริษัทส่งให้กับลูกค้า และเรายังมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำในการพัฒนานวัตกรรมเครื่องมือในการลงทุนด้วยการใช้เทคโนโลยี ที่ทั้งมีประสิทธิภาพและมีความปลอดภัยสูง เพื่อตอบโจทย์นักลงทุนอย่างไม่หยุดนิ่ง และพร้อมที่จะดูแลนักลงทุนในทุกสถานการณ์ท้าทาย” นายพิเชษฐกล่าว