เป็นอีกหนึ่งเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง เรื่องราวสุดแสนสะเทือนใจของเด็กชายวัย 15 ปี ที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งระยะสุดท้าย แต่น้องขอปฏิเสธการรักษา และขอจากไปอย่างสงบ ซึ่งสิ่งสุดท้ายที่น้องอยากจะทำคือ อยากกลับบ้านไปอยู่กับครอบครัว และอยากไปเจอเพื่อน แต่เนื่องจากฐานะทางบ้านยากจน ครอบครัวจึงไม่มีเงินพากลับบ้าน เพจเฟซบุ๊ก หมอคนสุดท้าย โพสต์เล่าเรื่องราวสุดแสนเศร้าใจ โดยระบุว่า....
สวัสดีครับห่างหายกันไปสักพักเลย…ช่วงนี้ผมยุ่ง ๆ กับหลายอย่างในชีวิตผมมีสิ่งที่อยากทำที่กำลังทำที่ไม่อยากทำที่ต้องทำหรือบางอย่างที่ต้องฝืนใจทำอยู่เหมือนกัน
ในแต่ละวันมีเรื่องราวเข้ามามากมายจนบางทีก็ลืมดูแล(ใจ) ตัวเองไปเหมือนกัน
วันหยุดยาวสงกรานต์ที่ผ่านมาหลายคนได้หยุดพักหลายคนก็ยังทำงานและใช่ครับ ผมเองก็เป็นหนึ่งในคนที่อยู่เวรยุ่ง ๆ ในช่วงวันหยุดยาว
“ปรึกษาจาก ER จ้า”เสียงโทรศัพท์จากเพื่อนที่อยู่เวรห้องฉุกเฉิน“คนไข้ชายอายุ 15 ปี เป็น advanced cancer(มะเร็งระยะลุกลาม) มาด้วยหอบเหนื่อยมาก คนไข้บอกยืนยันว่าไม่ใส่ท่อช่วยหายใจ ปรึกษาช่วยจัดการอาการหอบ”
คนไข้อายุเท่าไหร่นะ?ผมถามยืนยันอีกครั้ง“15 ปี” คำตอบยืนยันจากเพื่อนอีกครั้ง“คุยกับน้องแล้ว น้องรับทราบตัวโรคขอตายแบบสงบไม่ทรมาน” เพื่อนให้ข้อมูลเพิ่มเติม
คนในวัย 15 ปี…กล้าตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวคนในวัย 15 ปี…ที่พร้อมจะเผชิญ “ความตาย”
.
.
คำถามในหัวโผล่ขึ้นมาโดยอัตโนมัติถ้าเป็นเราล่ะ…จะทำได้แบบนี้ไหม?
“สวัสดีครับ หมอชื่อ…นะครับ” ผมทักทาย “สวัสดีครับ” เขาพยายามลืมตาขึ้นมาคุยเป็นยังบ้างครับ? อาการเหนื่อยดีขึ้นบ้างไหม? ทันใดนั้น…เขาเอื้อมมือมาจับที่แขนผม
“หมอครับ ช่วยผมด้วย ผมอยากกลับบ้าน”ผมตกใจเล็กน้อยเสียงร้องขอทั้งที่เรายังไม่ได้ทำความรู้จักกันเลย
น้องชื่ออะไรครับ
“มิกกี้(นามสมมติ)ครับ”
“ผมอยากกลับบ้านครับ”
เพราะอะไรมิกกี้ถึงอยากกลับบ้านล่ะครับ?
“ผมอยากอยู่บ้าน ผมอยากเจอเพื่อน”
“ผมรู้ว่าผมไม่ไหวแล้ว”
ผมรู้ว่าร่างกายของมิกกี้กำลังจะไม่ไหว
เขาดูเหนื่อยล้า หน้าตาซีดเซียว
จมูกสองข้างมีออกซิเจนแรงดันสูงช่วยบรรเทาความเหนื่อยหอบ
.
.
เขาเหลือเวลาไม่มากแล้วเวลาของเขาเหลือเป็นชั่วโมงๆ หรืออาจเป็นวันต่อวัน
มิกกี้ได้บอกคนในครอบครัวไหมว่าอยากกลับบ้าน?
“ผมบอกแม่แล้วครับ ผมบอกทุกคน แต่เขาพาผมกลับบ้านไม่ได้แม่ไม่มีเงิน”
บ้านมิกกี้อยู่ที่ไหนครับ?
“จังหวัด…ครับ”เป็นจังหวัดแห่งหนึ่งที่ภาคอีสานผมประเมินระยะทางกว่า 400 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางคงไม่ต่ำกว่า 5-6 ชั่วโมง
เพราะอะไรมิกกี้ถึงอยากกลับบ้านครับ?
“ผมอยากไปอยู่กับแม่ ผมอยากเจอเพื่อนๆอยากลาเพื่อนเป็นครั้งสุดท้าย”
มิกกี้บอกความปรารถนาอย่างแรงกล้า
“หมอช่วยผมหน่อยครับ”
ผมถึงกับน้ำตาคลอ
“หมอจะพยายามช่วยให้มิกกี้ได้กลับบ้านนะครับ หมอขอคิดว่าวิธีทางช่วยมิกกี้ก่อนนะ หมอจะพยายามอย่างดีที่สุด”
ผมพูดด้วยเสียงสั่น ออกไปอย่างไม่รู้ตัว
ไม่รู้ว่าจะเป็นการให้ความหวังลมๆ แล้ง ๆ กับมิกกี้หรือเปล่า
ทันใดนั้น…ครอบครัวของมิกกี้ก็เดินเข้ามาผมได้รู้ว่าครอบครัวค่อนข้างลำบาก พ่อกับแม่จึงต้องจากบ้านไปทำงานหาเลี้ยงครอบครัวที่กรุงเทพ
มีย่าเลี้ยงดูมิกกี้ตั้งแต่เด็กมิกกี้เติบโตที่จังหวัดหนึ่งในอีสาน“เขาเป็นเด็กดีมาตลอด เขาตั้งใจเรียน เขาไม่น่าอายุสั้นเลย” คุณย่าพูดด้วยความเสียใจ
หลายปีก่อนมิกกี้ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งครอบครัวพาไปรักษาอย่างต่อเนื่องผ่าตัด เคมี ฉายแสง มิกกี้ต่อสู้อย่างอดทนมาโดยตลอด
โชคร้ายเหลือเกิน…ตัวโรคกลับมา มีการแพร่กระจายไปหลายจุดมิกกี้เหนื่อยมากขึ้น จนขอยุติการรักษาด้วยตัวเองครอบครัวจึงพามิกกี้มาดูแลที่บ้านแม่ ซึ่งอยู่ในพื้นที่ที่ผมทำงานอยู่
มิกกี้เคยบอกย่าไหมว่าอยากกลับบ้าน?
“เขาพูดตลอด เขาอยากกลับบ้าน อยากไปหาเพื่อน”
“ตอนนี้เขาเหนื่อยมาก ไม่รู้จะพากลับไปยังไง”
“ย่าไม่มีเงินพาหลานกลับบ้านหรอก จ่าไม่มีค่ารถ”
คุณย่าเล่าทั้งน้ำตา…
ผมก็ยิ่งเสียงสั่นเข้าไปอีก
“โรคภัย” ที่มาพร้อมกับ “ความจน”ช่างน่ากลัวเหลือเกินรสชาติที่หากใครไม่เคยสัมผัสคงจินตนาการไม่ออกว่ามันเจ็บปวดเพียงใดเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมรู้สึกอยากเป็นคนรวยขึ้นมาจริงๆทั้งที่รู้ว่าหากผมรวยจริงๆ ผมก็ช่วยคนทั้งโลกไม่ได้
“ผมขอหาทางช่วยให้มิกกี้ได้กลับบ้านดูก่อนนะครับ” ผมพูดกับคุณย่าผมพยายามติดต่อกับหลายๆ คนเพื่อนๆ จิตอาสา ผู้ใจบุญหลายท่านจนมีผู้ใหญ่ใจดีช่วยสนับสนุนค่าเดินทางกลับบ้านให้มิกกี้
“มิกกี้ครับ มีผู้ใหญ่ใจดีหลายคนเลยนะที่ช่วยพามิกกี้กลับบ้าน”
“ดีใจไหมลูก” ผมเผลอเรียกลูกด้วยความเอ็นดู
“ขอบคุณครับ” มิกกี้ยกมือไหว้ผม
ผมพูดคุยกับครอบครัวอีกครั้ง
“มิกกี้จะกลับถึงบ้านไหมคะ?” แม่ของมิกกี้ถาม
ผมให้ข้อมูลอย่างตรงจริง “บอกไม่ได้เลยครับ มิกกี้มีโอกาสที่จะเสียชีวิตระหว่างทาง”
“ถ้าเขาเสียระหว่างทาง นั่นก็เท่ากับว่าสิ่งที่เราทำก็สูญเปล่าใช่ไหมคะ”
“ไม่เลยครับคุณแม่ หนึ่งคือเราตั้งใจพามิกกี้กลับบ้าน และสอง…มิกกี้ก็รับรู้ว่าเราตั้งใจทำความฝันสุดท้ายให้เขาอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นระหว่างทาง เราทำดีที่สุดแล้วครับ”
ผมให้ครอบครัวพามิกกี้โทรหาเพื่อนๆ และวีดีโอคอลอย่างน้อยหากมิกกี้โชคร้ายเสียชีวิตระหว่างทาง ก็ยังมีโอกาสได้คุยกับเพื่อนๆ ของเขา
มิกกี้ออกเดินทางด้วยรถที่มีผู้ใหญ่ใจดีสนับสนุนการเดินทางและโชคร้ายครับ…มิกกี้กลับไปไม่ถึงบ้านอันแสนอบอุ่นหลังนั้น…
เวลาของคนเราช่างแสนสั้นเหลือเกินใครจะรู้ว่าพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไรมิกกี้ทำให้ผมกลับมาตั้งคำถามกับตัวเองมากมายเราทำอะไรอยู่?
ตอนนี้เราเป็นอย่างไร?ความฝันในชีวิตของเราจริงๆ คืออะไรกันแน่นะ?
หมอไม่เสียใจ…แต่เสียดายที่เราเจอกันช้าไปเด็กน้อยที่มีความฝันสุดท้ายแค่ “อยากกลับบ้าน” และ “เจอเพื่อนๆ “ขอบคุณที่มาเป็นครูในวันที่แสนวุ่นวาย
เขาทำให้ผมอยากเห็นคนไทยได้ “อยู่ดี” และ “ตายดี” โดยไม่มีความจนเป็นอุปสรรค
ขอบคุณที่มา : หมอคนสุดท้าย