“ช็อกโกแลต” อีกหนึ่งของขวัญยอดนิยมที่สร้างความโรแมนติกไม่แพ้กับดอกกุหลาบเช่นกัน แต่ทำไมวันวาเลนไทน์ถึงต้องให้ช็อกโกแลต? เรามาหาคำตอบกันเถอะ
ที่มาของการให้ช็อกโกแลตเริ่มขึ้นในสมัยจักรพรรดิคลอดิอัสที่ 2 ของกรุงโรมในประเทศอิตาลี โดยในสมัยนั้นกรุงโรมได้มีสงครามอยู่บ่อยครั้ง องค์จักรพรรดิคลอดิอัสที่ 2 จึงสั่งเกณฑ์ให้ผู้ชายทุกคนไปออกรบ พร้อมออกกฎห้ามไม่ให้มีการหมั้นหมาย และสมรส เพื่อให้ผู้ชายไปรบโดยที่ไม่ต้องมีความกังวลใด ๆ หากฝ่าฝืนจะได้รับโทษประหารชีวิต
แต่ด้วยพลังแห่งความรัก หนุ่มสาวชาวโรมันก็ยังแอบจัดพิธีแต่งงานกันอย่างลับ ๆ โดยมี “นักบุญวาเลนไทน์” เป็นผู้ประกอบพิธีให้
เมื่อจักรพรรดิคลอดิอัสที่ 2 รู้ข่าวจึงสั่งประหารชีวิตนักบุญวาเลนไทน์ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ จึงเป็นที่มาของวันวาเลนไทน์วันระลึกถึงนักบุญวาเลนไทน์ซึ่งต่อมาพัฒนามาเป็น “วันแห่งความรัก” นั่นเอง
ส่วนของการให้ช็อกโกแลตวันวาเลนไทน์ในสมัยนั้นมาจากคู่รักต้องแอบมาเจอกันอย่างหล่บ ๆ ซ่อน ๆ ทำให้ไม่ค่อยมีโอกาสได้เจอกัน การให้ช็อกโกแลจึงเป็นของขวัญแทนความรัก เนื่องจากในสมัยนั้นช็อกโกแลตถือว่าเป็นสิ่งของที่มีคุณค่ามาก เป็นของหายาก มีราคาแพง จำกัดเฉพาะแค่กลุ่มคนชั้นสูงเท่านั้น
ช็อกโกแลต หมายถึง ความดึงดูดใจ ความรักที่ลึกซึ้ง ความหรูหรา ความเร่าร้อน และเชื่อว่า ช็อกโกแลตสามารถช่วยกระตุ้นอารมณ์รักได้ ไม่ได้มีเพียงเท่านั้น ช็อกโกแลตยังมีประโยชน์ต่อร่างกายอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น
- ตัวช็อกโกแลตมีมีสารฟีนอลที่มีประโยชน์ต่อหัวใจ ช่วยให้การไหลเวียนเลือดดีขึ้น และ ช่วยป้องกันการอุดตันของลิ่มเลือดอีกด้วย
- ช่วยให้การทำงานของเยื่อบุผิวดีขึ้น
- มีคุณค่าทางโภชนาการ มีทั้งคาร์โบไฮเดรต ไขมัน วิตามินเอ วิตามินดี วิตามินเค และ ธาตุเหล็ก
- ช่วยให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่าเนื่องจากมีกาเฟอีน
- กระตุ้นให้สมองหลั่งสารเอ็นโดรฟิน ช่วยให้อารมณ์ดี และ ช่วยลดความเครียดได้
แม้ว่าช็อกโกแลตจะมีรสชาติอร่อย และความหมายลึกซึ้ง แต่เราก็ไม่ควรกินช็อกโกแลตในปริมาณที่มากเกินไป เพราะอาจทำให้เป็นโรคเบาหวาน โรคอ้วน และ ก่อให้เกิดสิวได้อีกด้วย เตือนแล้วนะ