X
ภัยพิบัติทางธรรมชาติ ไทยจะรับมืออย่างไร

ภัยพิบัติทางธรรมชาติ ไทยจะรับมืออย่างไร

10 มิ.ย. 2564
1910 views
ขนาดตัวอักษร

10 มิ.ย.64 - ปัญหาภัยพิบัติและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ส่งผลกระทบต่อประเทศไทยต่อเนื่องในรอบหลายปีที่ผ่านมา ล่าสุด สกสว.เปิดเวทีระดมสมองผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อทำแผนวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม จัดการความเสี่ยงเชิงพื้นที่แบบองค์รวมและปฏิรูปการจัดการสิ่งแวดล้อม


สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ประชุมระดมสมองผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อจัดทำแผนด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ปี 2566-2570 ด้านภัยพิบัติและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ภายใต้ยุทธศาสตร์ด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยมี รศดร.สุจริต คูณธนกุลวงศ์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นประธาน


สำหรับปีงบประมาณ .. 2565 ภัยพิบัติและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อยู่ในแผนงาน “การวิจัยและสร้างนวัตกรรมเพื่อตอบโจทย์ท้าทายของสังคม” และโปรแกรมการแก้ไขปัญหาท้าทายและยกระดับการพัฒนาอย่างยั่งยืนด้านทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อม และการเกษตร โดยใช้ความรู้ การวิจัยและนวัตกรรม จัดการกับปัญหาท้าทายและบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน 

ขณะที่แผนแม่บทหลังโควิด-19 ระบุให้มีการเสริมสร้างความมั่นคงและบริหารจัดการความเสี่ยงเพื่อรองรับภัยพิบัติเหตุการณ์ความไม่สงบและความขัดแย้ง ตลอดจนสาธารณภัยทุกรูปแบบ ด้วยการใช้ฐานข้อมูล เทคโนโลยี และนวัตกรรม การบูรณาการระบบการจัดการในภาวะฉุกเฉินให้มีเอกภาพและรองรับสาธารณภัยรูปแบบใหม่ในทุกมิติเข่นเดียวกับกรอบแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 ที่ใช้ระบบการจัดการที่มีประสิทธิภาพและเทคโนโลยีเพื่อจัดการกับปัญหาสิ่งแวดล้อม โดยพัฒนาความสามารถในการรับมือกับภัยธรรมชาติและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ


ดร.เป็นหนึ่ง วานิชชัย หัวหน้าชุดโครงการลดภัยพิบัติแผ่นดินไหวในประเทศไทย เสนอให้ใช้เทคนิคใหม่  เช่นการสร้างสถานการณ์จำลองผ่านการทำ Catastrophe Model (CAT model) ระดับชาติ ซึ่งเป็นแบบจำลองคอมพิวเตอร์ที่แสดงข้อมูลเกี่ยวกับภัยพิบัติ โดยมีผู้เสนอแนะให้จัดทำระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) พื้นที่เพื่อเป็นฐานข้อมูลความเสี่ยง และข้อมูลความล่อแหลม (Exposure Data) เพื่อให้ทุกหน่วยงานมีข้อมูลเชิงปริมาณที่ทำให้เห็นฉากทัศน์และการแก้ไขปัญหาที่เกิดผลกระทบ พร้อมกับเปิดเผยข้อมูลให้ประชาชนรับทราบด้วย 


ขณะที่ ผศดร.ทวิดา กมลเวชช คณบดีคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เสนอว่ากรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) มีระบบคลังข้อมูลสาธารณภัยอยู่แล้ว จึงอยากให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และจังหวัดต่าง  ร่วมจัดทำข้อมูลแต่ละพื้นที่ และเปิดพื้นที่ทดสอบ (sandbox) เพื่อวางระบบการบริหารจัดการในพื้นที่ให้สอดคล้องกับงบประมาณด้านสาธารณภัย สิ่งสำคัญของการจัดการภัยพิบัติ คือ ต้องมีระบบเตือนภัยเพื่อหลีกเลี่ยงและลดความเสียหาย ซึ่งจะต้องเชื่อมโยงไปยังกระทรวงมหาดไทยและชุมชน โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องทำงานร่วมกันในเชิงบูรณาการ รวมถึงมีการวิจัยเชิงปฏิบัติการระหว่างเครือข่ายนักวิชาการ มหาวิทยาลัยในพื้นที่ หน่วยงานที่มีโมเดลกลาง และภาคประชาสังคม เพื่อช่วยกันสำรวจและศึกษาเจาะลึกภัยพิบัติแต่ละประเภท เพื่อสร้างองค์ความรู้และขับเคลื่อนความรู้สู่การปฏิบัติโดยเชื่อมโยงกับหน่วยงานต่าง  ออกแบบการถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยี เพื่อลดผลกระทบในพื้นที่ และใช้เป็นโมเดลในการกำหนดนโยบายของภาครัฐเพื่อการตัดสินใจแก้ปัญหาในอนาคต เช่นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แผ่นดินไหว 


ตลอดจนการผลักดันข้อเสนอแนะเชิงนโยบายร่วมกับต่างประเทศ โดยเฉพาะปัญหาฝุ่นควัน PM2.5 ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และการปลดล็อคระเบียบหรือกฎหมายท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องที่เป็นอุปสรรคต่อการแก้ปัญหาภัยพิบัติเชิงรุกและสร้างแนวทางป้องกัน


โดยที่ประชุมเห็นว่าปัจจุบันยังมองไม่เห็นองคาพยพหรือระบบนิเวศของภัยพิบัติ ยังเป็นการแก้ไขปัญหาและเจาะเฉพาะเป็นเรื่อง  ตามภารกิจของแต่ละหน่วยงาน ดังนั้นจึงต้องเพิ่มงานวิจัยที่เชื่อมโยงภัยพิบัติเชิงพื้นที่แบบองค์รวมและเชิงป้องกันมากขึ้น เพื่อให้เข้าใจภาพทั้งหมดถึงสาเหตุและนำไปสู่การจัดการความเสี่ยงจากภัยพิบัติ การป้องกันหรือเตือนภัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ

พร้อมพัฒนากำลังคน ทั้งนักวิจัย ชุมชน และประชาชน การจัดทำหลักสูตรการเรียน การปฏิรูประบบการบริหารจัดการของหน่วยงานต่าง  เพื่อเตรียมความพร้อมในการปรับตัวของประชาชนเพื่อรองรับภัยพิบัติและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การจัดทำแผนที่เสี่ยงภัยระดับเมือง และการจัดการวิกฤติภัยพิบัติหลังโควิด-19 


โดยสรุปที่ประชุมเห็นว่าควรมีแผนงานวิจัยสำคัญ 5 ประเด็น ดังนี้  (1) การวิจัยสนับสนุนการกำหนดนโยบายการจัดการความเสี่ยงจากภัยพิบัติเชิงพื้นที่แบบองค์รวม (2) การปฏิรูประบบการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหลังโควิด-19 เพื่อให้ อปทและพื้นที่มีความสามารถในการจัดการ ฟื้นฟูได้ดีและยั่งยืนยิ่งขึ้น (3) การพัฒนาเทคโนโลยีชั้นสูง (สารสนเทศ ปัญญาประดิษฐ์ แบบจำลอง สถานีวัดข้อมูล ฯลฯเพื่อใช้คาดการณ์และเตือนภัยสนับสนุนการตัดสินใจ และทดลองประยุกต์ใช้ในพื้นที่ตัวอย่าง ก่อนขยายผลเป็นงานบูรณการประจำได้ต่อไป (4) การพัฒนาระบบถ่ายทอดข้อมูลและความรู้สู่ชุมชน เพี่อให้สามารถนำไปวางแผนปรับตัวได้เอง โดยใช้เพลตฟอร์มเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้าช่วย (5) การพัฒนากำลังคนและหลักสูตรในระดับต่าง  รองรับการตรียมความพร้อมในการรับมือกับภัยพิบัติและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่มีแนวโน้มรุนแรงและมากขึ้นได้อย่างมีประสิทธิผล

Terms of Service © 2025 MCOT.net All rights reserved นโยบายข้อมูลส่วนบุคคล นโยบายการรักษาความมั่นคงปลอดภัยเว็บไซต์ นโยบายเว็บไซต์ของ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน)