รายงานข่าวจาก สำนักงานจกสทช. กรณีคณะกรรมการกฤษฎีกา คณะที่มีมีนายมีชัย ฤชุพันธ์ เป็นประธาน มีกำหนดจะพิจารณาข้อหารือจากสำนักผู้ตรวจการแผ่นดินในกรณีการขาดคุณสมบัติของ ประธานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.) ในวันพรุ่งนี้ (5 สิงหาคม 2568) เป็นที่น่าสนใจว่า ทางคณะกรรมการกฤษฎีกาที่ประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิทางกฎหมายระดับประเทศจะวินิจฉัยอย่างไร
ก่อนหน้านี้มีการสรุปประเด็นว่า ประธานกสทช.ขาดคุณสมบัติตามกฎหมายไปโดยสิ้นสงสัยแล้ว ทั้งโดยคณะกรรมาธิการของทั้ง สว. และ สส. แต่มหากาพย์การดำเนินการเรื่องนี้ยังไม่จบ ประธานกสทช.ยังดำรงตำแหน่งต่อไป แม้จะมีองค์กรฯ สมาคมฯต่างๆ ได้ทักท้วงหลายครั้ง เรื่อง ความเสียหายที่เกิดขั้นจากการอนุมัติต่างๆ ของประธาน กสทช. ท่ามกลางความคลางแคลงใจของหลายๆ ฝ่าย
ทางสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินได้ขอให้คณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาให้ความเห็นในประเด็นปัญหาข้อกฎหมายหลังจากได้ทำหนังสือถามไปที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เนื่องจากนายกรัฐมนตรีเป็นผู้รักษาการณ์ตามกฎหมายกสทช. และเป็นผู้ดำเนินการขอโปรดเกล้าฯแต่งตั้งกสทช.ทั้งชุด แต่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีกลับส่งเรื่องไปให้ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นผู้พิจารณา ซึ่งจะนำเข้าในคณะที่หนึ่งในวันพรุ่งนี้
ประเด็นการขาดคุณสมบัติของประธานกสทช. เริ่มจากการร้องเรียนของผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ภูมิศิษฐ์ มหาเวสน์ศิริ รองเลขาธิการคณะกรรมการ กิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ต่อ ประธานวุฒิสภาในวันที่ 28 กันยายน 2566 ซึ่งทางเลขาวุฒิสภาและประธานวุฒิสภาในขณะนั้นคือศาสตราจารย์พิเศษพรเพชร วิชิตชลชัย ได้มอบหมายให้คณะกรรมาธิการเทคโนโลยีสารสนเทศ การสื่อสาร และการโทรคมนาคม วุฒิสภา (กมธ.ไอซีทีวุฒิสภาฯ) เป็นผู้พิจารณาสอบหาข้อเท็จจริงซึ่งทางคณะกรรมาธิการไอซีทีก็ได้มีการสรุปผลการสอบหาข้อเท็จจริง และรายงานผลต่อประธานวุฒิสภา ผลการพิจารณาการ ตรวจสอบฯ ดังกล่าว โดยได้มีการนำเสนอที่ประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการวุฒิสภา ครั้งที่ 16/2567 เมื่อ 5 กรกฎาคม2567 สรุปว่า “ศาสตราจารย์ คลินิก นายแพทย์สรณฯ มีลักษณะเป็นผู้ที่ขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้าม ตามกฎหมาย ตาม พระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ มาตรา 7 ข (12) มาตรา 4 และมาตรา 26 ประกอบกับ มาตรา18 และมาตรา 20”
หลังจากวุฒิสภาชุดที่แล้วหมดอายุไปเดือนกรกฎาคม 2567 ทางคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทยยุทธศาสตร์ชาติ และการปฏิรูปประเทศสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมีนายรังสิมันต์ โรมเป็นประธานได้นำประเด็นดังกล่าวขึ้นมาพิจารณา และมีตัวแทนจากทางคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานเลขาวุฒิสภา ตลอดจน สำนักงาน กสทช.เข้าร่วมให้ข้อมูลด้วย ซึ่ง สส.โรมได้สรุปในที่ประชุมแล้วว่า ในสาระสำคัญของการขาดคุณสมบัติของประธาน กสทช.นั้นสมบูรณ์ไร้ข้อสงสัยไปแล้ว เหลือเพียงการดำเนินการตามกระบวนการให้เป็นไปตามกฎหมายเท่านั้น แม้ในกฎหมายได้ชี้ว่า นายกรัฐมนตรี ควรต้องเป็นผู้ดำเนินการ
สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินมีข้อหารือต่อคณะกรรมการกฤษฎีกา ดังนี้
1. ประธาน กสทช. หรือกรรมการ กสทช. เป็นผู้ขาดคุณสมบัติ หรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 20(4)(5) ภายหลังโปรดเกล้าฯแต่งตั้งแล้ว บุคคล ดังต่อไปนี้ ได้แก่ นายกรัฐมนตรี ประธานวุฒิสภา หรือสานักงานกสทช. จะเป็นผู้ดำเนินการ กระบวนการตรวจสอบคุณสมบัติ หรือลักษณะ ต้องห้ามรวมไปถึงการวินิจฉัยกรณี ประธานกสทช.หรือกรรมการ กสทช. เป็นผู้ขาดสมบัติหรือรักษาต้องห้ามได้ และแจ้งผลให้นายกรัฐมนตรี ดำเนินการนำความกราบบังคมทูล เพื่อทรงมีพระบรมราชโองการให้พ้นจากตำแหน่ง
2. ตามกรณี 1. หากวุฒิสภา เป็นผู้ดำเนินการ กระบวนการตรวจสอบคุณลักษณะ หรือเนื้อหาต้องห้าม รวมทั้งวินิจฉัยว่า ประธานกสทช. หรือกรรมการ กสทช. เป็นบุคคลที่มีการขาดคุณสมบัติ หรือมีลักษณะต้องห้ามบุคคล ดังต่อไปนี้ ได้แก่ กรรมการ สรรหาหรือกรรมาธิการที่วุฒิสภา มอบหมาย ผู้ใดจะเป็นผู้ดาเนินการตรวจสอบและวินิจฉัยการขาดคุณสมบัติ หรือการมีลักษณะต้องห้าม หรือการดาเนินการฝ่าฝืนดังกล่าว
3. กรณี ตามมาตรา 20 วรรคท้าย มีหนังสือแจ้งให้สานักงานเลขาธิการวุฒิสภาและดำเนินการจัดให้มีการเลือกกรรมการแทนตำแหน่งที่ว่างภายใน 15 วันนับตั้งแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งนั้น เป็นกระบวนการภายหลังจากนายกรัฐมนตรีนาความกราบบังคมทูลเพื่อมีพระบรมราชโองการให้พ้นจากตำแหน่งประธาน กสทช. หรือกรรมการ กสทช. หรือไม่ หรือเป็นขั้นตอนกระบวนการเริ่มต้นในการตรวจสอบคุณสมบัติ หรือมีลักษณะต้องห้าม หรือกระทาการอันเป็นการฝ่าฝืนโดยไม่แจ้งให้สำนักงานเลขาวุฒิสภาทราบ เพื่อดาเนินการตามพระราช 20 วรรค2 และวรรคท้ายควบคู่กันไปหรือไม่ประการใด
สื่อและสาธารณชนจึงต้องจับตาดูต่อไปว่าทางคณะกรรมการกฤษฎีกาจะมีคำวินิจฉัยในกรณีดังกล่าวไปในทิศทางใด จะมีการอ้างข้อจำกัดจากความไม่ชัดเจนของกฎหมายเพื่อยื้อเวลาอีกหรือไม่ หรือ จะให้แนวทางที่สามารถแก้ไขปัญหาที่ค้างคามาเกือบ 2 ปีได้เพื่อสร้างบรรทัดฐานที่ดีในองค์กรอิสระ และหน่วยงานภาครัฐต่อไป