คำว่า บางกอก เป็นคำที่ใช้เรียกตำบล เล็กๆ ตำบลหนึ่ง บนฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาเดิม ตอนที่ยังไม่มีการขุดคลองลัดแม่น้ำให้เป็นลำน้ำตรงอย่างทุกวันนี้ เมื่อการขุดคลองลัดเกิดขึ้นในสมัยพระไชยราชาธิราช ชื่อบางกอกจึงเรียกกันมา 300 กว่าปีแล้วถ้าเอาคลองบางกอกใหญ่ที่ข้างพระราชวังเดิม (ซึ่งก็คือปากแม่น้ำเจ้าพระยาสายเก่า) กับปากคลองบางกอกน้อย (คลองตรงสถานีรถไฟบางกอกน้อย ตรงข้ามมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์) บางกอก (เดิม) น่าจะเป็นพื้นที่ระหว่างปากคลองทั้งสอง ที่วันนี้กลายเป็นแม่น้ำ
อธิบายให้เห็นภาพ คือ ฝั่งตะวันออกตั้งแต่ท่าพระจันทร์ ลงไปถึงทางเตียน ปากคลองตลาด ฝั่งตะวันตกตั้งแต่ วังหลัง โรงพยาบาลศิริราช ไปถึงพระราชวังเดิม เล่าเรื่องบางกอก ส.พลายน้อย บอกว่า การขุดคลองลัด แบ่งเมืองบางกอกออกเป็น 2 ซีก ฝั่งซ้ายคือเมืองธนบุรี ฝั่งขวาคือกรุงเทพฯ
ข้อสันนิษฐานนี้ตรงกับบันทึกฝรั่งที่เข้ามากรุงศรีอยุธยา เมื่อเรือเข้ามาเมืองบางกอก ปืนใหญ่ที่ป้อมวิชาเยนทร์ จะยิงสลุต แล้วลดโซ่คล้องที่ขวงแม่น้ำ ให้เรือผ่านเข้ามาได้
ตรงป้อมวิไชยประสิทธิ์เคยมีป้อมวิชาเยนทร์อยู่อีกฝั่งแม่น้ำ เป็นป้อมคู่ ที่คอยตรวจสอบการเข้าออก ปากแม่น้ำเจ้าพระยาก่อนเข้าผ่านเข้าสู่กรุงศรีอยุธยา หลังรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ป้อมที่อยู่ฝั่งตะวันออกถูกรื้อลง เหลือป้อมเดียวคือป้อมวิไชยประสิทธิ์ ข้อความที่กำหนดว่า เมื่อราชฑูตมาถึงเมืองบางกอกแล้ว ป้อมจะยิงสลุตคำนับราชฑูต แสดงว่าเมืองบางกอกนับตั้งแต่ป้อมวิไชยประสิทธิ์นั่นเอง ข้อความนี้สนับสนุนตำแหน่งของ บางกอก (เดิม)ที่ตรงกัน
ส่วนเมืองกรุงเทพฯ อย่างที่รู้กันว่าเกิดขึ้นหลังกรุงธนบุรี เมื่อสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชขึ้นครองราชย์ ทรงตั้งกรุงรัตนโกสินทร์บนฝั่งขวา หรือฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา
ขอยกข้อมูลจาก หนังสือ เล่าเรื่องเมืองบางกอก โดย ส.พลายน้อย มาอธิบายต่อว่า … ครั้นการสถาปนา “บางกอกฝั่งขวา” สำเร็จบริบูรณ์แล้ว จึงโปรด เกล้าฯ ให้มีงานสมโภชพระนคร ให้นิมนต์พระสงฆ์ทุกๆ พระอารามทั้งในกรุง และนอกกรุง ขึ้นสวดพระพุทธมนต์บนเชิงเทิน ทุก ๆ ใบเสมา เสมาละรูป รอบพระนคร พระราชทานเงินขอแรงให้ข้าราชการทำข้าวกระทงเลี้ยงพระสงฆ์ ทั้งสิ้น แล้วให้ตั้งโรงทานรายรอบพระนครพระราชทานเลี้ยงยาจก วนิพกทั้งปวง แล้วให้ตั้งต้นกัลปพฤกษ์ตามวงกำแพงพระนคร ทุ่งทานต้นละชั่งเป็นเวลา 3 วันสิ้น พระราชทรัพย์เป็นอันมาก ให้มีการมหรสพต่าง ๆ และมีละครผู้หญิงโรงใหญ่ เงินโรงวันละ 10 ชั่ง เป็นการสมโภชวัดพระศรีรัตนศาสดารามด้วยครบ 7 วัน เป็นกำหนด
ครั้นเสร็จการฉลองพระนครแล้ว พระราชทานนามพระนครใหม่ ให้ต้องกับนามพระพุทธรัตนปฏิมากรว่า “กรุงเทพมหานครบวรรัตนโกสินทร มหินทรอยุธยา มหาดิลกภพ นพรัตนราชธานีบุรีรมย์ อุดมราชนิเวศมหา สถาน อมรพิมานอวตารสถิต สักกะทัตติย วิษณุกรรมประสิทธิ” ซึ่งต่อมา ในรัชกาลที่ 4 ได้ทรงแปลงสร้อยที่ว่า บวรรัตนโกสินทร เป็นอมรรัตนโกสินทร์
ส่วนบางกอกทางฝั่งซ้ายหรือฝั่งตะวันตกคือกรุงธนบุรีนั้น ก็คงเป็น ท้องที่ซึ่งรวมอยู่ในอาณาเขตกรุงเทพมหานครที่ได้สร้างขึ้นใหม่นี้ จนกระทั่ง ถึงรัชกาลที่ 5 พุทธศักราช 2458 จึงโปรดฯ ให้แบ่งเขตกรุงเทพมหานคร ออกเป็นจังหวัด คือตัวกรุงเทพฯ ที่สร้างขึ้นใหม่เป็นจังหวัดพระนคร กรุงเทพฯ ฝั่งตะวันตกหรือกรุงธนบุรีเป็นจังหวัดธนบุรี และแบ่งเมืองรอบนอก เป็นจังหวัดนนทบุรี จังหวัดมีนบุรี จังหวัดพระประแดง และจังหวัดสมุทรปราการ (ต่อมาในปัจจุบันคงเหลือแต่จังหวัดนนทบุรีและจังหวัดสมุทรปราการ)
ส.พลายน้อยได้ตั้งข้อสังเกตไว้ว่า บางกอกฝั่งซ้ายหรือกรุงธนบุรี จึงมีฐานะเป็น จังหวัดแยกกับกรุงเทพฯ เมื่อในสมัยรัชกาลที่ 6 ตามประกาศลง วันที่ 21 ตุลาคม พุทธศักราช 2458 เป็นต้นมา รวมอายุที่เป็น เมืองเดียวกันมาเป็นเวลาถึง 132 ปี จึงได้แยกจากกัน แต่ก็น่า แปลกที่สถานที่ราชการเช่นศาลากลางจังหวัดได้ใช้รวมกันมาเป็น เวลาช้านานเพิ่งจะมาดำริคิดแยกศาลากลางจังหวัดเมื่อปีพุทธศักราช 2500 นี่เอง ต่อมาเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม พุทธศักราช 2514 คณะปฏิวัติก็ได้มีประกาศฉบับที่ 24 ให้รวมจังหวัดพระนครและธนบุรีเข้าด้วยกัน เรียกชื่อว่านครหลวงกรุงเทพธนบุรี และต่อมาในเดือนธันวาคม 2515 ก็ได้เปลี่ยนเป็นกรุงเทพมหานคร อีกครั้ง
ขอขอบคุณข้อมูลจาก -เล่าเรื่องบางกอก โดย ส.พลายน้อย