รถเมล์ หรือรถประจำทาง เกิดขึ้นในเมืองไทยโดยพระยาภักดีนรเศรษฐ (เลิศ เศรษฐบุตร) ผู้เป็นเจ้าของรถเมล์นายเลิศ หรือรถเมล์ขาว กรุงเทพมหานครได้มีรถยนต์ครั้งแรกปี 2363 ต่อมาในปี 2417 ได้เกิดรถเจ๊กหรือรถลากขึ้น และจนกระทั่งได้เกิดรถราง จนเมื่อ พ.ศ. 2430 ถึงแม้จะเป็นที่นิยมของชาวพระนคร แต่ไม่แพร่หลายและมีมากพอแก่ความต้องการ เพราะรถม้าก็มักจะจอดอยู่แต่ในโรง ถ้าใครต้องการก็ไปว่าจ้างเอา รถเจ๊กก็จอดอยู่ตามตลาด เมื่อต้องการจ้างก็ต้องเดินไปหาจ้างเอาเองขณะรถรางมีเพียง 5 สายเท่านั้น พูดง่ายๆคือ มีรถจ้างแต่ก็ยังให้ความสะดวกแก่ประชาชนไม่มาก พระยาภักดีนรเศรษฐ หรือนายเลิศ เศรษฐบุตร หรือ นายเลิศ สะมันเตา จึงได้เปิดการเดินรถขึ้นอีกประเภทหนึ่งเรียกกันว่ารถเมล์
การเดินรถเมล์ขึ้นสายแรกในประเทศไทยเมื่อพ.ศ. 2450 วิ่งรับส่งจากสะพานยศเสหรือกษัตริย์ศึกไปจนถึงประตูน้ำ ปทุมวันแต่รถเมล์ของนายเลิศรถเมล์ที่ไม่ได้ใช้เครื่องยนต์ แต่ใช้ม้าลากจูงไปถึงแม้ว่าจะไม่รวดเร็วอย่างรถเมล์ในปัจจุบัน แต่คนก็นิยมขึ้นรถเมล์นายเลิศไม่ใช่น้อย เส้นทางเดินรถเมล์จากสะพานยศเสไปถึงประตูน้ำปทุมวันเพราะต้องการให้คนโดยสาร จากในเมือง สามารถไปต่อเรือเมล์ขาวของนายเลิศเองที่ประตูน้ำ ได้สะดวก
เมื่อกิจการรถเมล์โดยใช้ม้าลากเปลี่ยนจากรถใช้ม้าลากมาเป็นรถยนต์ ยี่ห้อฟอร์ด เมื่อ พ.ศ. 2456 รถเมล์ของบริษัทฟอร์ดตอนนั้น รูปร่างไม่เหมือนรถยี่ห้อฟอร์ดในปัจจุบันนี้หรอก เขา ว่ามีสามล้อ ที่นั่งสองแถวบรรทุกผู้โดยสารได้ไม่กี่แถว ถ้าบรรทุกถึง 10 คน หน้ารถจะเชิดขึ้นเพราะน้ำหนักท้าย นายเลิศได้ขยายกิจการเดินรถเมล์ไปจนถึงบางลำพู
รถเมล์ตอนนั้นเวลาวิ่งไปตามถนนมีเสียงดังโกร่งกร่าง ๆ จนคนล้อรถเมล์นายเลิศว่า “อ้ายโกร่ง” เมื่อกิจการได้เจริญเป็นปึกแผ่นขึ้น นายเลิศได้ ตั้งบริษัทชื่อว่าบริษัทนายเลิศ บริการประชาชนในด้านรถเมล์
เมื่อมีการสร้างสะพานพุทธยอดฟ้าขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2475 แล้ว มีเศรษฐีจีนผู้หนึ่งเห็นว่าการเดินรถเมล์นอกจากจะอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชน แล้วยังนับว่าเป็นอาชีพได้อีกอย่างหนึ่ง จึงได้ตั้งบริษัทเดินรถเมล์ขึ้นอีกบริษัทหนึ่งคือ บริษัทนครธนเดินจากตลาดบางลำพู จนถึงวงเวียนใหญ่ ธนบุรี จากนั้นมา ก็มีผู้อื่นตั้งบริษัทรถเมล์เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ กิจการในด้านนี้ได้เจริญก้าวหน้าต่อมาจนทุกวันนี้ รถเมล์ จัดว่าเป็นพาหนะสำคัญที่สุดของประชาชนที่เดียว
ถึงจุดหนึ่งกิจการเดินรถเมล์ได้กลายเป็นกิจการในการดูแลของรัฐโดยการขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยหรือ ขสมก. ให้บริการเดินรถโดยสารประจำทางแบบร้อนและปรับอากาศ แต่เพื่อความครอบคลุมพื้นที่ในการให้บริการเส้นทางที่อาจจะไม่ใช่เส้นทางหลักจึงมีการให้เอกชนเข้ามาเป็นผู้ให้บริการเกิดเป็นรถร่วมบริการขึ้น
การขนส่งมวลชนโดยรัฐมาจนถึงจุดที่มีรถไฟฟ้าทั้งบนดินและใต้ดินรถเมล์เริ่มลดบทบาทลงแต่ก็ยังคงเป็นที่พึ่งของประชาชนอยู่ดี ต้องยอมรับว่าสถานการณ์โควิด-19 ทำให้การเดินรถเมล์ได้รับผลกระทบ รวมไปถึงบริการรถร่วม รถเมล์ขสมก.ที่ขาดทุนอยู่แล้วก่อนโควิด-19 มาก็ขาดทุนมากขึ้นจนต้องเลิกเดินรถบางเส้นทางให้เอกชนเข้ามาให้บริการแทน และล่าสุดเกิดปัญหา รถขาด รถน้อย รถไม่พอให้บริการ ประกอบกับการลงทุนเพื่อให้บริการไม่ทันกับความต้องการใช้รถใครจะกล้าลงทุนกับสถานการณ์เศรษฐกิจที่ฝืดเคือง น้ำมันแพง เงินเฟ้อ โรคระบาดที่ไม่รู้จะมีโรคอะไรออกมาให้ต้องปิดเมืองกันอีกหรือไม่ คนที่มีรายได้น้อยยังไงก็ต้องพึ่งรถเมล์ และบริการขนส่งมวลชนอยู่ดี
ข้อมูลจากหนังสือ : เมืองไทยในอดีต โดย เพิ่มศักดิ์ วรรลยางกูร