เสวนา “พิรงรอง Effect” ทิศทางกำกับดูแลและคุ้มครองผู้บริโภคสื่อต่อจากนี้... โดย คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ จากกรณีที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง พิพากษา จำคุก 2 ปี "ดร.พิรงรอง รามสูต" กรรมการ กสทช. ออกหนังสือเตือนโฆษณาแทรกบนแพลตฟอร์มทรูไอดี รศ.ดร.ปรีดา อัครจันทโชติ คณบดีคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อ่านแถลงการณ์ของคณะ ว่า กระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2553 ปัจจุบันนี้ สภาพการณ์ภูมิทัศน์สื่อเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจนกฎหมายและระเบียบข้อบังคับต่าง ๆ ที่มีอยู่ไม่สามารถรองรับการกำกับดูแลสื่อในสภาพการณ์จริงได้ทัน จนเกิดปัญหาอย่างยิ่งต่อระบบอุตสาหกรรมสื่อและสิทธิเสรีภาพด้านการ สื่อสารของสังคมไทย ผู้ประกอบกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมที่ได้รับใบอนุญาตถูกกำกับดูแลให้ต้องดำเนินการภายใต้กฎหมาย ในขณะที่มีผู้ประกอบธุรกิจสื่อจำนวนมากที่อาจกระทำการเสี่ยงต่อการละเมิดสิทธิผู้บริโภคสื่อโดยอาศัยความได้เปรียบที่ไม่ต้องอยู่ภายใต้การกำกับดูแลนี้
ปรากฏการณ์ดังกล่าวเป็นความท้าทายยิ่งขององค์กรกำกับดูแลสื่ออย่าง กสทช. ที่จะต้องปฏิบัติหน้าที่โดยยึดหลักการ คุ้มครองผู้บริโภคสื่อและประโยชน์สาธารณะเป็นสำคัญ ดังนั้น หากมีกรณีที่ผู้บริโภคสื่อร้องเรียนขึ้นมาว่าถูกละเมิดสิทธิในฐานะ ผู้บริโภคสื่อ กสทช.มีหน้าที่ต้องดำเนินการตามบทบาทในฐานะองค์กรกำกับดูแลสื่อ ผลของคดีความทางกฎหมายที่เกิดขึ้นอาจทำให้สังคมเกิดคำถามต่อความเป็นอิสระในการทำงานของ กสทช. และกระทบต่อความเชื่อมั่นที่ผู้ประกอบกิจการสื่อ นักวิชาชีพสื่อ และผู้บริโภคสื่อมีต่อการทำงานของ กสทช. ในอนาคต อีกทั้งการ ฟ้องร้องดำเนินคดีในลักษณะนี้ยังกระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่ขององค์กรอิสระในฐานะที่พึ่งของประชาชนในการพิทักษ์สิทธิที่ประชาชนพึงมี เป็นอุปสรรคสำคัญต่อเสรีภาพในการแสดงออก ขัดขวางการวิพากษ์วิจารณ์ประเด็นสังคมโดยพยายามทำให้เกิดความกดดันและความกลัว คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จึงขอแสดงจุดยืนของคณะฯ สนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่ของศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.พิรงรอง รามสูต ในฐานะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความสุจริต ยึดมั่นในหลักการ และปกป้องผลประโยชน์สูงสุดของสาธารณะต่อไป
ศาสตราจารย์พิเศษ ธงทอง จันทรางศุ ที่ปรึกษานโยบายนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในฐานะคนที่เรียนกฎหมาย สอนกฎหมายและทำงานด้านนิเทศศาสตร์มาบ้างขอแสดงความเห็นเกี่ยวกับคดีความที่กำลังได้รับความสนใจ ปรัชญาในการใช้กฎหมายที่รัชกาลที่ 9 เคยพระราชทานไว้ว่า นักกฎหมายอย่าเผลอคิดว่าตัวกฎหมายเป็นความยุติธรรม ที่แท้ กฎหมายเป็นเพียงเครื่องมือแสวงหาความยุติ เราไม่ใช่คนที่ต้องเดินตามตัวบท แต่ต้องดูผลกระทบ ดูบริบทที่เกิดจากการใช้กฎหมาย ต้องดูข้อเท็จจริงและเรื่องราวที่เป็นบริบทให้ครบถ้วน ดังนั้นนักกฎคต้องคิดว่ากฎหมายเป็นเครื่องมือแสวงหาความยุติธรรม ถ้าเราเผลอคิดแต่เพียงตัวหนังสือว่าอย่างนี้ก็ก็ว่าอย่างนี้เราจะตกหล่นข้อเท็จจริงไป หลายครั้งการฟ้องคดีขึ้นสู่ศาลผู้ฟ้องไม่ต้องต้องการแค่แพ้ชนะ แต่ต้องการผลข้างเคียงที่อาจเป็นผลประโยชน์ส่วนตัว ผลประโยชน์ส่วนรวม นักกฎหมายจึงต้องรอบคอบอย่าเป็นเครืาองในการใช้กฎหมายออกไปนอกทางความยุติธรรม
ระวี ตะวันธรงค์ ที่ปรึกษาสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ กล่าวว่า ขออธิบาย คำว่า OTT กับ IPTV ต่างกันยังไง IPTV คือการชมโทรทัศน์ผ่านอินเทอร์เน็ต สัญญาณภาพและเสียงมาตามสาย ต่อมาอินเทอร์เน็ตไม่ต้องมีสายแล้ว ภาพและเสียงจึงส่งมาบนอินเทอร์เน็ต กลายเป็น Over The Top กฎหมายในการกำกับดูแลเรื่องนี้มีแต่กฎหมายฉบับเก่า ที่ตอนนั้นยังไม่มี OTT สี่ปีที่แล้วกสทช.มีแผนแม่บททำร่างกำกับดูแลกิจการ OTT ทั้งหมดเสร็จแล้ว ตั้งแต่ ปี 2566 แต่ร่างไม่ถูกนำมาพิจารณา เมื่อกฎหมายไม่มีผู้กำกับดูแล กสทช.ก็เข้าไปดูแลไม่ได้ ธุรกิจ OTT โตขึ้นทุกวัน กฎหมายจะมากี่โมงไม่มีใครรู้ยิ่งมาช้าสิ่งเหล่านี้จะทำลายทีวีดิจิทัล ประธานกสทช.ให้สัมภาษณ์ล่าสุดว่าความชัดเจนในอนาคตของทีวีดิจิทัลจะเกิดขึ้นในปี 2570 ในขณะที่ยังไม่รู้อนาคตทีวีดิจิทัลโตขึ้นทุกวัน เม็ดเงินโฆษณาบน OTT ที่ถูกกว่าทำให้เม็ดเงินโฆษณาบนทีวีย้ายไปอยู่บน OTT
น.ส. สุภิญญา กลางณรงค์ อดีตกรรมการ กสทช. และผู้ร่วมก่อตั้ง Co-fact Thailand กล่าวว่า คดีความที่เกิดขึ้นกับ กสทช.พิรงรอง รามสูต ได้สร้างผลกระทบ และการตั้งคำถามจากสังคมไทย ทั้งในแง่การทำหน้าที่ของ กสทช.และนักกฎหมาย สะท้อนไปถึงอนาคต วงการสื่อสารมวลชน และโทรคมนาคม การเริ่มต้นของแรงกระเพิ่มได้เกิดขึ้นแล้วและต้องต่อสู้ต่อไปในระยะยาว การทำหน้า กสทช.จนต้องถูกฟ้องร้อง ความสัมพันธ์ของผู้ดูแลและผู้ถูกดูแลย่อมมีความขัดแย้งกันเป็นเรื่องธรรมดา ดร.พิรงรอง เป็นกรรมการที่ดูด้านกิจการโทรทัศน์จึงตรงกับเรื่องที่เกิดขึ้น กรณีกฎมัสแครี่เป็นมติของกรรมการมีประกาศออกมาเป็นแนวทางกำกับดูแลจึงต้องดูแล เมื่อบอร์ดมีมติแล้ว เมื่อมีเรื่องร้องเรียนเข้ามาจึงเป็นหน้าที่ของ กรรมการและสำนักงานต้องดูแลแก้ไขปัญหา ในอดีตหากผู้ประกอบการไม่พอใจการกำกับดูแลสามารถทำหนังสือถึงบอร์ด ท้วงติงการออกคำสั่ง หากเอกชนยังไม่พอใจจะนำเรื่องไปที่ศาลปกครอง เพื่อให้ได้ข้อยุติที่ดี หลายครั้งเรื่องยุติที่ศาลปกครอง เรื่องข้อพิพาทเป็นเรื่องปกติ แต่ควรได้ข้อนุติตามกลไกที่เหมาะสม
“ จุดหมายของเรื่องดร.พิรงรอง คือ การคุ้มครองผู้บริโภค การกำกับดูแล OTT เป็นเรื่องที่ควรทำมานานตั้งแต่ 5ปีที่แล้ว แต่มีความล่าช้าการเป็นแบบนี้ใช่การละเว้นการปฎิบัติหน้าที่หรือไม่ ถ้ายังไม่มีตอนนี้จะกระทบอุตสาหกรรมทีวี ความพยายามกำกับดูแล OTT ของดร.พิรงรองทำให้อาจารย์ต้องได้รับผลกระทบเช่นนี้ ”
รศ. ดร.ณรงค์เดช สรุโฆษิต อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ จุฬาฯกล่าวว่า กฎหมายมีช่องทางโต้แย้งการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐหากเห็นว่าการทำหน้าที่มีปัญหาสมารถอุทธรณ์และหาข้อยุติที่ศาลปกครอง วัตถุประสงค์เพื่อเพิกถอนคำสั่งหรือเรียกร้องความเสียหาย การฟ้องอาญา แสดงให้เห็นถึงความไม่พอใจกันต้องการให้เจ้าหน้าที่รัฐติดคุกติดตาราง เรื่องนี้คงเป็นกรณีพิเศษไม่เช่นนั้นคงไปที่ศาลปกครองหรือการอุทธรณ์ภายใน กรณีนี้มีความแปลกเมื่อผู้ที่ออกหนังสือไปยังผู้ประกอบการคือสำนักงาน ปกติคนที่ออกหนังสือต้องเป็นจำเลยที่หนึ่ง ผู้ออกคำสั่งเป็นจำเลยที่สอง
“กรณีที่เกิดขึ้น สร้างผลกระทบให้เจ้าหน้าที่รัฐอาจคิดว่า อย่าแกว่งเท้าหาเสี้ยน รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี ปล่อยเกียร์ว่างเรื่องไหนเสี่ยงอย่าไปทำ อยู่เฉยๆอย่าไปทำเดี๋ยวถูกฟ้อง เรามีเจ้าหน้าที่ของรัฐเพื่อคุ้มครองผลประโยชน์ของประชาชน เราจะอยู่อย่างไรถ้าเจ้สหน้าที่ไม่คุ้มครองประชาชนเพราะกลัวว่าจะมีความผิด เรื่องนี้มันมีอยู่แล้วแต่มันจะเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น