นายนรสิทธิ์ สิทธิเวชวิจิตร รองประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการพาณิชย์ LINE ประเทศไทย กล่าวว่า ในปี 2564-2565 LINE มุ่งที่จะเป็นแพลตฟอร์มสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยองค์รวม โดยเน้นความสำคัญในส่วนกลุ่มธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SME) ซึ่งถือเป็นรากฐานสำคัญของเศรษฐกิจไทย ด้วยส่วนแบ่งใน GDP มากถึง 45% และมีจำนวนมากกว่า 3 ล้านรายทั่วประเทศ ผลการสำรวจจาก สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สศช. เผยถึง กลุ่มธุรกิจ SME ที่ได้รับผลกระทบหนักสุดในช่วงวิกฤตโควิด-19 คือ ธุรกิจอาหาร ซึ่งส่งผลต่อ GDP ลดลงถึง 37% รองลงมาคือ ธุรกิจขนส่ง และค้าปลีก ในอัตราส่วนที่ลดลง 21% และ 3.7% ตามลำดับ
ท่ามกลางวิกฤตนี้ LINE พบว่า อัตราการเติบโตของ LINE OA โดยธุรกิจกลุ่มร้านอาหารมีอัตราการเปิดใช้งาน LINE OA เพิ่มขึ้น (YoY) สูงสุดสุงถึง 212% รองลงมาคือธุรกิจกลุ่มค้าปลีกที่ 191% ด้วยเหตุนี้ LINE ประเทศไทยจึงมุ่งพัฒนาแพลตฟอร์มและเครื่องมือเพื่อขับเคลื่อนกลุ่มธุรกิจไทยเหล่านี้โดยเฉพาะ เพื่อยกระดับการใช้งาน LINE จากแค่เครื่องมือในการสื่อสาร เป็นเครื่องมือในการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำธุรกิจ เพื่อที่จะสามารถแข่งขันในโลกยุคหลังโควิดต่อไป
LINE ให้บริการลูกค้าธุรกิจ และ SME ภายใต้แบรนด์ LINE for Business ผ่านโซลูชั่นหลักคือ LINE Official Account (LINE OA) ที่พัฒนามาอย่างต่อเนื่องกลุ่มธุรกิจที่ LINE ได้เข้าไปมีบทบาทในการขับเคลื่อนสู่ดิจิทัลอย่างเห็นได้ชัดเป็นกลุ่มแรกๆ คือกลุ่มธุรกิจการเงิน จนปัจจุบัน ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีการใช้งาน Digital Banking มากที่สุดในโลก (อ้างอิง: Digital 2021 Report โดย We are Social & Hootsuite) โดย LINE พบยอดเติบโตของการใช้งาน Digital Banking ผ่านLINE API ตั้งแต่ปี 2562 มาจนถึงต้นปี 2564 ในรายเดือน (Monthly API Message) เพิ่มขึ้นถึง 80% โดยการให้บริการDigital Banking service แทนที่การให้ข้อมูลของ Banking service เพียงอย่างเดียวเติบโตอย่างก้าวกระโดดมากขึ้นถึง 2.8 เท่าในช่วงเวลาดังกล่าว สะท้อนให้เห็นถึงการปรับตัวของกลุ่มธุรกิจการเงินและธนาคารในไทยในการใช้ LINE OA จากช่องทางการสื่อสารเป็นการให้บริการ Digital Banking และสร้างความคุ้นชินและเตรียมพร้อมให้ผู้บริโภคทั้งประเทศ สู่การบริการ Digital Banking อย่างเต็มรูปแบบในปัจจุบัน