9 ส.ค.68 - “ไข้เลือดออก” โรคร้ายจากยุงลาย ที่ไม่ควรละเลย คราชีวิตคนไทยทุกปี สธ. และพันธมิตร Dengue-zero พุ่งเป้าพัฒนาแนวทางป้องกันแบบองค์รวม “หยุดไข้เลือดออก” ย้ำวัคซีนช่วยลดโอกาสป่วยรุนแรงและเสียชีวิตได้
“โรคไข้เลือดออก” เป็นหนึ่งในโรคติดต่อที่ระบาดในประเทศไทยทุกปี นับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 30 กรกฎาคม 2568 มีผู้ป่วยสะสมแล้ว 32,244 ราย และมีผู้เสียชีวิตสะสม 32 ราย “สุขภาพดี 4 วัย” ขอเป็นอีกกระบอกเสียงถ่ายทอดให้ทุกคนตระหนักถึงอันตรายจาก “โรคไข้เลือดออก” ที่หากติดเชื้อนี้แล้วจะมีโอกาสเจ็บป่วยรุนแรง และร้ายแรงที่สุดถึงขั้นเสียชีวิตได้
งานนี้ กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานในสังกัด ร่วมด้วยแพทยสมาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล กรุงเทพมหานคร สมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย สมาคมนักบริหารโรงพยาบาลประเทศไทย สมาคมโรงพยาบาลเอกชนแห่งประเทศไทย ในนาม “กลุ่มความร่วมมือ Dengue-zero” ออกมาเตือนประชาชนคนไทยถึงอันตรายของ “โรคไข้เลือดออก” ในหัวข้อ “ยอดไข้เลือดออกพุ่ง หยุดข่าวร้ายด้วยการป้องกัน” เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนร่วมป้องกันโรคไข้เลือดออกแบบเชิงรุก เพื่อลดความสูญเสียจากโรคที่ป้องกันได้ เดินหน้าใช้ 4 มาตรการ สำหรับช่วยให้ประเทศไทยหยุดข่าวร้ายจากไข้เลือดออก ได้แก่
1. เฝ้าระวังเข้มทุกพื้นที่: สำรวจและกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงอย่างต่อเนื่องทั่วประเทศ ใช้มาตรการ 3-7 วันเมื่อพบผู้ป่วย พร้อมประสานหน่วยงานท้องถิ่นและสาธารณสุขทันที
2. ควบคุมยุงร่วมกับชุมชน: ทำกิจกรรม “ถังแตก” ทุกสัปดาห์ ร่วมกับ อปท. อสม. อสส. และจิตอาสา พร้อมพ่นสารเคมีในบ้านผู้ป่วยเพื่อกำจัดยุงพาหะ
3. ตรวจรักษาเร็ว: กระจายชุดตรวจ NS1 ให้ สถานพยาบาล เพื่อวินิจฉัยไว ช่วยลดอัตราเสียชีวิต
4. สื่อสารสร้างการมีส่วนร่วม: ทำแคมเปญผ่านสื่อท้องถิ่นให้ความรู้ประชาชน พร้อมประชุมวางแผนควบคุมโรคทันทีเมื่อเกิดการระบาด และเน้นให้สถานพยาบาลหลีกเลี่ยงการใช้ยา ต้านการอักเสบกลุ่ม NSAIDs ในผู้ป่วยต้องสงสัยไข้เลือดออก
ซึ่งจะทำให้สามารถรับมือการระบาดในทุกพื้นที่ พร้อมย้ำเตือนประชาชนว่า “ไข้เลือดออกเกิดขึ้นได้ตลอดปีและทุกคนมีความเสี่ยง ไม่จำกัดเพศหรือวัย” โดยเฉพาะกลุ่มเด็ก ผู้สูงอายุ และผู้มีโรคประจำตัวอาจจะเสี่ยงอาการรุนแรงสูงหากป่วย พร้อมแนะนำการฉีดวัคซีนซึ่งเป็นมาตรการส่วนบุคคลที่ได้ผลดีที่สุดในการป้องกันและลดความรุนแรงของโรคไข้เลือดออก ที่ทำควบคู่กับมาตราการต่างๆ เกี่ยวกับยุงพาหะเพื่อป้องกันโรคในชุมชน
นพ. สมฤกษ์ จึงสมาน อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ผู้แทน รมว.กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า การป้องกันโรคไข้เลือดออกไม่ใช่แค่การตอบโต้เมื่อเกิดการระบาด แต่คือการลงทุนระยะยาวในสุขภาพของคนไทย เป็นจุดยืนของกระทรวงสาธารณสุข ตามพันธกิจของการ “พัฒนาและอภิบาลระบบสุขภาพอย่างมีส่วนร่วมและยั่งยืน” ทั้งนี้ถึงแม้เราจะไม่สามารถป้องกันโรคได้ 100% แต่เราสามารถลดความรุนแรง และปกป้องประชาชนและกลุ่มเสี่ยงจากโรคไข้เลือดออกได้ กระทรวงสาธารณสุขมุ่งมั่นทำงานกับทุกภาคส่วนในการให้คนไทยปลอดภัยจากโรคที่สามารถป้องกันได้อย่างไข้เลือดออก เพื่อการมีสุขภาพที่ดีอย่างถ้วนหน้า
ด้าน ศ.เกียรติคุณ นพ. อมร ลีลารัศมี ประธานพันธมิตร Dengue-zero กล่าวว่า วันนี้ ไข้เลือดออกยังคงเป็นข่าวร้ายของครอบครัวกว่าแสนราย แต่เชื่อว่าประเทศไทยจะหยุดข่าวร้ายจากไข้เลือดออกได้ หากมีการผนึกกำลังของทุกภาคส่วนอย่างเข้มแข็ง ขับเคลื่อนการป้องกันไข้เลือดออกได้อย่างยั่งยืน “สำหรับปัจจุบันสิ่งที่น่ากังวลคือผู้เสียชีวิตจากไข้เลือดออก 80% อยู่ในกลุ่มผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคอ้วน เบาหวาน โรคหัวใจ โรคไต ซึ่งมีความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนและอาการรุนแรงสูง และนำมาซึ่งการเสียชีวิต” โรคนี้ไม่ได้ส่งผลเฉพาะกับผู้ที่ติดเชื้อเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบให้กับคนใกล้ชิดหรือผู้ที่ดูแลผู้ป่วย ที่เรียกว่า “ไข้เลือดออกมือสอง” คือการที่ต้องทรมานจากการเห็นหรือต้องดูแลคนใกล้ชิดต้องเผชิญภาวะวิกฤต การป้องกันจึงเป็นหัวใจสำคัญ ไม่ว่าจะเป็น การกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุง ทายากันยุง ปฏิบัติตามมาตรการการป้องกันและเลือกเสริมภูมิคุ้มกันด้วยการฉีดวัคซีน ควบคู่กันไปเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ที่สำคัญเมื่อมีไข้แล้วอย่าซื้อยารับประทานเอง ควรไปพบแพทย์ และรับคำปรึกษาเรื่องการดูแลรักษา และป้องกันเมื่อหายป่วยให้คนในครอบครัว”
ขณะที่ พญ. วรยา เหลืองอ่อน ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อนำโดยแมลง กรมควบคุมโรค บอกว่า สถานการณ์โรคไข้เลือดออกของประเทศไทยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (2565 – 2571) พบผู้ป่วยปีละ 45,145 – 158,620 ราย1 โดยมีจำนวนผู้เสียชีวิต 29 – 181 ราย1 และปี 2568 นี้สถานการณ์ยังน่าเป็นห่วง เนื่องจากพบจำนวนผู้ป่วยเพิ่มสูงกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี และยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องขณะที่ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 30 กรกฎาคม 2568 พบผู้ป่วยสะสมแล้ว 32,244 ราย และมีผู้เสียชีวิตสะสม 32 ราย ยังพบว่าตัวเลขการเสียชีวิตจากไข้เลือดออกในปีนี้กลับพุ่งสูงขึ้นกว่าปีที่ผ่านๆ มา ทุกคนอย่าชะล่าใจเพราะไข้เลือดออกไม่เลือกเวลาระบาด ทุกคนสามารถติดเชื้อไข้เลือดออกได้ตลอดปี ควรตระหนักรู้การป้องกันตนเองอย่างต่อเนื่อง ควรพบแพทย์ทันทีหากมีไข้รุนแรงโดยไม่เจ็บคอหรือไอ นอกจากนี้กองโรคติดต่อนำโดยแมลงเพิ่มเกราะป้องกันโรคให้แก่ประชาชน ด้วยการสื่อสารความเสี่ยงของโรคผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย เพื่อให้ประชาชนได้รับข่าวสารของการระบาดและจำนวนผู้ป่วยในพื้นที่อย่างทันท่วงที และเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือให้อาสาสมัครสาธารณสุขเฝ้าระวังการระบาดในพื้นที่ของตนเอง พร้อมย้ำเตือนให้ชุมชนตระหนักถึงการป้องกันตนเองและครอบครัวจากโรคไข้เลือดออก
ศ. พญ. กุลกัญญา โชคไพบูลย์กิจ นายกสมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย กล่าวว่า เด็ก ทุกช่วงวัยเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงที่จะมีอาการป่วยจากไข้เลือดออกที่มากกว่าผู้ใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่มอายุ 5 - 15 ปี โดยการติดเชื้อไข้เลือดออกครั้งแรกอาจจะมีอาการไม่มาก แต่หากโชคไม่ดีในระยะสั้น หากมีการติดเชื้อไข้เลือดออกซ้ำอีกจะมีอาการมาก ผู้ปกครองต้องหมั่นสังเกตอาการให้ดี
ข้อน่ากังวลของผู้ที่ติดเชื้อไข้เลือดออก มีอาการที่เห็นได้ชัดแค่ 20% ส่วนใหญ่ 80 % ไม่มีอาการไม่มาก ที่จะหนักสุดจนช็อกเพียง 1 % ซึ่งอาการของไข้เลือดออกชนิดรุนแรงจะมีอาการ “ไข้สูง เบื่ออาหาร ปวดหัว บางคนมีหน้าแดง ปวดท้องมาก บางคนมีผืนเล็กๆ น้อยๆ มักมีอาการกินไม่ค่อยได้ ไข้สูงขึ้นมากได้ร่วมด้วย ซึ่งอาการที่น่ากังวลมากๆ คือเมื่อมีไข้ลดลงปรากฎว่าเกิดอาการช็อกเลย รุนแรงถึงขนาดต้องเข้าโรงพยาบาล และถึงเสียชีวิตได้ ดังนั้นช่วงแรกที่มีอาการไข้สูง ควรรีบพาผู้ป่วยมาพบแพทย์ทันที
“การฉีดวัคซีนป้องกันไข้เลือดออก ช่วยป้องกันโรคและลดความเสี่ยงจากโรครุนแรงที่อาจทำให้เสียชีวิต” การฉีดวัคซีนจึงเป็นทางเลือกด้านสุขภาพที่คุ้มค่า ลดอัตราการนอนรักษาตัวในโรงพยาบาลและลดภาระค่าใช้จ่ายของครอบครัว เด็กในช่วงวัยเรียนเป็นกลุ่มเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรค หากได้รับการวินิจฉัยและรักษาช้า อาจมีภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น ภาวะช็อก และเสียชีวิตได้โดยเฉพาะในผู้ที่มีโรคประจำตัว แต่แม้ผู้ที่แข็งแรงดีมาก่อนก็สามารถป่วยแบบรุนแรงได้
ปัจจุบันโรคไข้เลือดออกยังไม่มียาต้านไวรัสเฉพาะ มีเพียงการเฝ้าติดตามรักษาตามอาการ การป้องกันจึงเป็นสิ่งสำคัญ “องค์การอนามัยโลกแนะนำให้ฉีดวัคซีนควบคู่กับมาตรการอื่นๆ” วัคซีนที่มีใช้ในปัจจุบัน ฉีดได้ตั้งแต่อายุ 4 ปีขึ้นไปทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ฉีด 2 เข็ม ห่างกัน 3 เดือน ไม่ต้องตรวจเลือดก่อนฉีด ช่วยป้องกันโรคไข้เลือดออกได้ทั้ง 4 สายพันธุ์ ลดความรุนแรงของโรคและอัตราการนอนโรงพยาบาลได้ 80-90%3 วัคซีนมีความปลอดภัย โดยมีการขึ้นทะเบียนกว่า 40 ประเทศ และใช้แล้วทั่วโลกกว่า 15 ล้านโดส การฉีดวัคซีนร่วมกับมาตรการจัดการกับยุงและสิ่งแวดล้อมจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดในการป้องกันโรค ควรปรึกษาแพทย์หรือสถานพยาบาลใกล้บ้าน เพื่อวางแผนป้องกันอย่างเหมาะสมทั้งครอบครัว และควรจัดการให้มีการเข้าถึงวัคซีนให้มากขึ้นจากทั้งภาครัฐและเอกชน”
นพ.สุนทร สุทรชาติ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า “กรุงเทพมหานครมีเป้าหมายสำคัญในการพัฒนาเมืองให้เป็น Healthy City ที่ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีและสุขภาพที่แข็งแรง เราจึงให้ความสำคัญกับการควบคุมโรคไข้เลือดออกเชิงรุกอย่างต่อเนื่อง ด้วยมาตรการเฝ้าระวังและควบคุมแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายในชุมชน เช่น การสำรวจแหล่งน้ำขัง การปรับปรุงภูมิทัศน์แวดล้อม และการจัด Big Cleaning Day ลงพื้นที่ร่วมกับภาคประชาชนอย่างสม่ำเสมอ พร้อมทั้งกำหนดพื้นที่ปลอดลูกน้ำยุงลาย เพื่อสร้างเป้าหมายที่ชัดเจนให้เจ้าหน้าที่ทำงานได้ตรงจุด ขณะเดียวกัน เราให้ความสำคัญกับการสื่อสารและสร้างความตระหนักรู้ร่วมกับชุมชนผ่านเครือข่าย อาสาสมัครสาธารณสุขกรุงเทพมหานคร (อสส.) ปลูกฝังพฤติกรรมป้องกันโรคให้เกิดขึ้นอย่างยั่งยืนในกลุ่มนักเรียนและครูผ่านโครงการ Dengue-zero School Project ภายใต้ความร่วมมือ Dengue-zero ซึ่งช่วยลดดัชนีลูกน้ำยุงลายในโรงเรียนได้ตามเป้าหมาย เพราะโรคไข้เลือดออกสามารถระบาดได้ตลอดทั้งปี การควบคุม การป้องกัน และการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกภาคส่วนต้องตระหนักและปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง กรุงเทพมหานครจะเดินหน้าทำงานร่วมกับทุกภาคส่วนอย่างใกล้ชิด เพื่อเป็นฟันเฟืองในการช่วยหยุดข่าวร้ายจากโรคไข้เลือดออกให้ได้อย่างยั่งยืน”
ในครั้งนี้ “คุณแจง ปุณณาสา พรหมยศ ภรรยา แจ๊ส ชวนชื่น” ได้มาร่วมเล่าประสบการณ์ของครอบครัวที่เคยติดเชื้อไข้เลือดออกมาแล้ว เล่าว่า โรคไข้เลือดออก ไม่ง่ายที่จะสังเกตอาการได้ เพราะต้องใช้เวลา 1-2 วัน ถึงจะตรวจว่ามีการติดเชื้อหรือไม่ จึงต้องสังเกตอาการของคนในครอบครัว โดยเฉพาะเด็กเล็กอย่างใกล้ชิดเมื่อมีอาการป่วย หากมีอาการไข้สูงควรต้องใส่ใจเป็นพิเศษไม่ควรนิ่งนอนใจ ควรเข้าถึงการรักษาให้เร็วที่สุด เพราะจุดหนึ่งของไข้เลือดออกอันตรายจริงๆ เมื่อไข้ลดลง สามารทำให้เด็กเกิดอาการช็อกได้ ดังนั้นการมาถึงมือหมอให้ไวที่สุดเป็นสิ่งสำคัญ และสำคัญมากไม่แพ้กันคือการดูแลสภาพแวดล้อมภายในบ้านที่ต้องไม่เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุง เพื่อลดต้นต่อของเชื้อโรคอันตรายนี้ และอีกวิธีการที่จะสามารถลดอันตรายที่รุนแรงของโรคนี้ได้ก็คือ “วัคซีนป้องกันไข้เลือดออก” ที่เป็นหนึ่งในพัฒนาการทางการแพทย์ที่จะสามารถลดอันตรายของโรคกับครอบครัวได้
สุขภาพดี 4 วัย เชื่อว่าหากทุกคน ทุกส่วนร่วมมือกันอย่างจริงจังในการลดโอกาสสร้างแหล่งกำเนิดยุงลาย ที่เป็นต้นต่อของโรคไข้เลือดออก จะช่วยตัดวงจรของโรคร้ายนี้ลงได้อย่างมาก รวมทั้งการเข้าถึงวัคซีนป้องกันไข้เลือดออก ที่ในอนาคตหากเข้าถึงง่ายขึ้น ราคาเหมาะกับทุกครอบครัว มั่นใจว่าจะเป็นหนทางที่จะช่วยลดอัตราการสูญเสียชีวิตโรคร้ายจากยุงลาย “โรคไข้เลือดออก” ลงอีกมาก เพื่อไปถึงเป้าหมาย Dengue-zero ที่ทั่วโลกร่วมกันลดการเสียชีวิตจากไข้เลือดออกให้เหลือ 0 ภายในปี ค.ศ.2030