บทความนี้นำเสนอเรื่องราวของ ฮัจยีฮูไซนี อารีพงษ์ ช่างทองชาวไทยที่มีบทบาทสำคัญในการก่อสร้างและตกแต่ง “ประตูกะฮ์บะฮ์” (Kaaba Door) ในมัสยิดอัลฮะรอม ประเทศซาอุดีอาระเบีย สถานที่ศักดิ์สิทธิ์สูงสุดของชาวมุสลิมทั่วโลก ภารกิจดังกล่าวเป็นโครงการระดับนานาชาติที่ต้องการฝีมือช่างระดับสูง ทั้งด้านไม้และทองคำ โดยมีทีมงานช่างจากประเทศไทยทั้งหมด 6 คน ซึ่งผลงานชิ้นนี้ได้กลายเป็นอนุสรณ์สำคัญที่เชื่อมโยงศิลปหัตถกรรมไทยเข้ากับมรดกศาสนาอิสลามระดับโลกอย่างแนบแน่น
ประตูกะฮ์บะฮ์: ศูนย์กลางแห่งศรัทธาและสัญลักษณ์แห่งเกียรติยศ
กะฮ์บะฮ์ (Kaaba) คืออาคารสี่เหลี่ยมศักดิ์สิทธิ์ที่ตั้งอยู่ใจกลาง มัสยิดอัลฮะรอม (Masjid al-Haram) เมืองมักกะฮ์ ประเทศซาอุดีอาระเบีย ถือเป็นทิศทางที่มุสลิมทั่วโลกหันหน้าไปเมื่อทำการละหมาด (กิบละฮ์) ประตูกะฮ์บะฮ์จึงไม่ใช่เพียงโครงสร้างหนึ่งของสถาปัตยกรรมเท่านั้น แต่เป็นสัญลักษณ์ของการเข้าถึงพระผู้เป็นเจ้า (อัลลอฮฺ ซ.บ.) และมีความหมายในเชิงเทววิทยา สุนทรียศาสตร์ และประวัติศาสตร์ศาสนาอย่างลึกซึ้ง
จากอยุธยาสู่มักกะฮ์: เส้นทางของช่างทองไทยสู่ภารกิจแห่งศรัทธา
ฮัจยีฮูไซนี อารีพงษ์ เป็นช่างทองพื้นเพจากย่านมัสยิดกุฎีช่อฟ้า ตำบลคลองตะเคียน อำเภอพระนครศรีอยุธยา เขาเริ่มต้นอาชีพในย่านมหานาค กรุงเทพมหานคร จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2521 ขณะอายุ 22 ปี ได้รับการคัดเลือกจาก อับดุลเลาะห์ นาคนาวา นักเรียนเก่ามหาวิทยาลัยอัลอัซฮัร ผู้มีบทบาทสำคัญในการคัดสรรช่างไทยไปร่วมภารกิจครั้งสำคัญในซาอุดีอาระเบีย
การสร้างประตูใหม่นี้เกิดขึ้นเพื่อแทนที่ประตูเดิมที่ใช้งานมานานกว่า 500 ปี โดยต้องใช้วัสดุระดับสูง ได้แก่ “ไม้มะค่าโมง” จากประเทศไทย ซึ่งมีคุณสมบัติทนทานต่อความชื้นและความร้อน และทองคำแท้กว่า 260 กิโลกรัม
ทีมงานศิลป์ไทย: ความร่วมมือของช่างไม้และช่างทองมุสลิม
คณะช่างทั้งหมดประกอบด้วยช่างฝีมือไทยมุสลิม 6 คน แบ่งเป็น
ช่างไม้:
• ฮัจยีอีซา กาสุรงค์
• ฮัจยีสุไลมาน ซันหวัง
• ฮัจยีฮูเซ็น และอิ่ม
ช่างทอง:
• ฮัจยีอาลี มูลทรัพย์
• ฮัจยีกอเซ็ม ชนะชัย
• ฮัจยีฮูไซนี อารีพงษ์
ปัจจุบันเหลือเพียงฮูไซนีที่ยังมีชีวิตอยู่ในวัย 71 ปี และได้รับการยกย่องว่าเป็น “ตำนานมีชีวิต” ผู้รักษาความทรงจำและเกียรติภูมิของงานหัตถกรรมอิสลามไทย
การทำงานในดินแดนฮะรอม: ศรัทธา ฝีมือ และความอดทน
เมื่อเดินทางถึงมักกะฮ์ ทีมช่างต้องเผชิญกับอุปสรรคด้านภาษาและสภาพแวดล้อม ฮูไซนีเล่าว่าทันทีที่เดินทางถึง ยังไม่ทันถอดเสื้อสูท ก็ต้องเริ่มเรียนภาษาอาหรับทุกวัน เพื่อให้สามารถสื่อสารกับเจ้าหน้าที่ซาอุดีอาระเบียได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ขั้นตอนการผลิตประตู:
• การเตรียมไม้ใช้เวลาถึง 3 เดือนในประเทศไทย
• การออกแบบและแกะลายทองต้องอาศัยความแม่นยำระดับสูง
• ช่างทองต้องรีดทองให้เป็นแผ่น เขียนแบบอักษรภาษาอาหรับ (อักษรค๊อต) แล้วใช้ค้อนตอกให้นูนและประดับบนบานประตู
• ช่างไม้ใช้เทคนิค “เข้าลิ่ม” แบบบ้านไทยโบราณ เพื่อให้ไม้สามารถยืดหดตามสภาพอากาศของมักกะฮ์ โดยไม่แตกหรือบิดงอ
การสร้างประตูใช้เวลาทั้งสิ้น กว่า 2 ปี และใช้งบประมาณจากทางการซาอุดีอาระเบียถึง เกือบ 2,000 ล้านบาท
การบูรณะหลังเหตุการณ์ความไม่สงบ
ในปี พ.ศ. 2522 เกิดเหตุการณ์ผู้ก่อการร้ายบุกเข้าไปในมัสยิดอัลฮะรอม พร้อมใช้อาวุธยิงเข้าใส่ประตูกะฮ์บะฮ์ ทำให้ได้รับความเสียหายบางส่วน ฮูไซนี ยังประจำการอยู่ในซาอุฯ ขณะนั้น จึงได้รับมอบหมายให้ซ่อมแซมประตูดังกล่าวอีกครั้ง ใช้เวลาเกือบ 1 เดือนจึงเสร็จสิ้น
ชีวิตหลังภารกิจ และความหมายที่ยังคงอยู่
หลังเสร็จสิ้นภารกิจ ฮูไซนีใช้ชีวิตในซาอุดีอาระเบียต่ออีกกว่า 15 ปี ก่อนกลับมาใช้ชีวิตที่เรียบง่ายในอยุธยา โดยยังยึดหลักศาสนาอย่างเคร่งครัดและถ่อมตนเสมอ
เขากล่าวไว้ว่า:
“ผมภูมิใจนะ งานชิ้นนั้นเหมือนตำนานของผมเลย
และผมก็เชื่อว่า ประตูบานนั้น อีก 150 ปีก็ยังไม่พัง
บทส่งท้าย ศิลปะที่หล่อหลอมศรัทธาและอัตลักษณ์ไทย
แม้เรื่องราวนี้อาจไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง แต่สำหรับมุสลิมไทย นี่คือ หน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์ร่วมสมัย ที่เชื่อมโยงโลกศิลปหัตถกรรมไทยกับมรดกศรัทธาระดับโลก
“ประตูกะฮ์บะฮ์บานปัจจุบัน” ที่มุสลิมทั่วโลกได้สัมผัส ไม่ใช่เพียงศิลปะอิสลามอันวิจิตร แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงพลังของฝีมือคนไทยที่มีความเชี่ยวชาญ ศรัทธา และวินัยทางจิตใจในระดับสูงสุด
นี่คือเรื่องเล่าแห่งศรัทธา… ที่ควรถูกรักษาและเล่าต่อ
ขอขอบคุณ ข้อมูลและภาพ
จากเพจ Beritamuslim