“พล.อ.ประวิตร” หนุน MOU 22 หน่วย พัฒนาระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานเส้นทางคมนาคมขนส่ง การพัฒนาแหล่งน้ำและระบบไฟฟ้า ที่จะช่วยให้ประชาชนที่ได้รับการจัดสรรที่ดินมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นเพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างยั่งยืน
พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี
เป็นประธาน พิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ภายใต้โครงการบูรณาการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคและโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นในพื้นที่
คทช. ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (สคทช.) ร่วมกับ 21
หน่วยงาน แสดงเจตจำนงในการผนึกกำลังกันบูรณาการพัฒนาพื้นที่ คทช.
โดยการสนับสนุนจัดทำโครงสร้างพื้นฐานระบบสาธารณูปโภค
เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ทั้งนี้ 21
หน่วยงานที่จะร่วมลงนามประกอบด้วย 2 กลุ่ม คือ
กลุ่มหน่วยงานเจ้าของพื้นที่ ได้แก่ กรมป่าไม้ กรมที่ดิน กรมธนารักษ์ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง
สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ
กรมส่งเสริมสหกรณ์ กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช และกลุ่มหน่วยงานพัฒนา
อาทิ การประปาส่วนภูมิภาค การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค กรมทางหลวงชนบท กรมทรัพยากรน้ำบาดาล
กรมชลประทาน โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการร่วมกัน
ให้เกิดการอนุญาตและดำเนินการที่รวดเร็วขึ้น โดยเฉพาะด้านการพัฒนา
เส้นทางคมนาคมขนส่ง
การพัฒนาแหล่งน้ำและระบบไฟฟ้าที่จะช่วยให้ประชาชนที่ได้รับการจัดที่ดินมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นเพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างยั่งยืนต่อไป
พลเอกประวิตร กล่าวว่า
มีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้มาเป็นประธาน ในพิธีลงนาม บันทึกข้อตกลง
ความร่วมมือ (MOU) ภายใต้โครงการบูรณาการพัฒนาระบบสาธารณูปโภค
และโครงสร้างพื้นฐาน ที่จำเป็น ในพื้นที่ คทช. ในวันนี้ การจัดที่ดินทำกินให้ชุมชน
ในลักษณะแปลงรวม โดยมิให้กรรมสิทธิ์ แต่อนุญาตให้เข้าทำประโยชน์เป็นกลุ่ม
หรือชุมชนเป็นนโยบายที่สำคัญของรัฐบาลที่ต้องการแก้ไขปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำ
ปัญหาการขาดที่ดินทำกิน โดยให้พี่น้องประชาชนผู้ยากไร้ ได้มีสิทธิทำกิน
และอยู่อาศัยในที่ดินของรัฐอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
ป้องกันการเปลี่ยนมือและการเข้ามาครอบครองของนายทุนเกษตรกร มีที่ดินทำกิน
อย่างยั่งยืน และตกทอดไปถึงลูกหลานได้ การจัดที่ดินทำกิน
พร้อมได้ย้ำให้หน่วยงานรัฐ พัฒนาระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานไฟฟ้าประปา
เส้นทางคมนาคม และแหล่งน้ำในการอุปโภคบริโภคต่างๆ
เพื่อให้สามารถลงหลักปักฐานต่อไปในระยะยาวได้รวมทั้งให้มีการพัฒนาและส่งเสริมอาชีพที่เหมาะสมกับศักยภาพพื้นที่
และต่อยอดไปสู่การจัดหาตลาด รวมถึง ช่องทางการกระจายผลผลิตทางการเกษตร
เพื่อให้พี่น้องประชาชนสามารถมีรายได้ อย่างเพียงพอ และมั่นคงมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
และพึ่งพาตนเองได้อย่างแท้จริง