11 ต.ค.66 – “มัสมั่น” 1 ใน 10 เมนูแกงที่ดีสุดในโลก นายกฯ มองไกลดันอาหาร “ฮาลาล” Soft Power อาหารไทยสู่ระดับโลก
“มัสมั่นแกงแก้วตา หอมยี่หร่ารสร้อนแรง” “ชายใดได้กลืนแกง แรงอยากให้ใฝ่ฝันหา” ท่อนหนึ่งของกาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวาน นับเป็นอีกบทบันทึกที่แสดงถึงความหลากหลายของอาหารในช่วงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ เมนู “มัสมั่น” อาหารที่นิยมของชาวมุสลิม และแพร่หลายในประเทศไทย จนกลายเป็นเมนูประจำโต๊ะของหลายบ้าน รวมทั้งเป็นเมนูขึ้นชื่อของร้านอาหารที่เรียกแขก เรียกนักท่องเที่ยวเข้าร้านได้อีกด้วย
โดยปี 2566 เว็บไซต์อาหารชื่อดังระดับโลก www.tasteatlas.com จัดอันดับเมนูแกงที่ดีที่สุดในโลก ปรากฎว่าอันดับ 1 คือ “แกงพะแนง” อันดับ 2 ข้าวซอย อันดับ 7 แกงเขียวหวาน อันดับ 8 แกงมัสมั่น และอันดับ 10 แกงส้ม
Tasteatlas ได้ให้ข้อมูลว่า “แกงมัสมั่น” ของไทยนั้น โดดเด่นด้านความหอมหวานที่สุด ด้วยมีส่วนผสมของกะทิ เนื้อมันฝรั่ง และเครื่องแกงที่ทำจากเครื่องเทศมากมายผสมกัน เช่น ยี่หร่า ลูกผักชี กานพลู อบเชย พริกไทย ผสมกับกระเทียมสด พริก ข่า ตะไคร้ มะขามเปียก และน้ำตาลปี๊บ ทำให้เมนูนี้มีกลิ่นหอมหลากหลายหาไม่ได้ในภูมิภาคนี้ มักรับประทานคู่กับข้าวสวย และอาจาดเครื่องเคียง ให้รสชาติแบบไทย ๆ ที่ชัดเจน
นับเป็นอีกเมนูอาหารไทยชวนกระตุ้นต่อมลิ้มรสของนักท่องเที่ยว ให้ลองชิมอาหารไทย และส่งต่ออาหารไทยสู่วงการอาหารโลกได้ใกล้เคียงยิ่งขึ้น ผลระหว่างทางคือเหล่าผู้ผลิต ตั้งแต่เกษตรกร พ่อค้า และร้านอาหาร ต่างได้ประโยชน์ยิ่งขึ้นหากเมนูไทยได้รับการยอมรับ และมีความนิยมในหมู่ชาวต่างชาติมากขึ้น
สอดคล้องกับนบายของรัฐบาลไทย นำโดย นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังที่พร้อมดันอาหารไทยให้เป็น Soft Power ที่สร้างแรงกระเพื่อมทางเศรษฐกิจ และการท่องเที่ยวให้กับประเทศไทยโดยล่าสุดรับฟังการนำเสนอ Thailand Soft Power Halal & Future Food จากนายบุญเลิศ อ่องไพบูลย์ รองประธานคณะกรรมการธุรกิจอาหารแปรรูปและอาหารแห่งอนาคต (PFC) สภาหอการค้าไทย ที่ให้ข้อมูลว่า “อุตสาหกรรมฮาลาล” ซึ่งครอบคลุมสินค้าและบริการ รวมทั้ง การเงิน อาหาร แฟชั่น สื่อและสันทนาการ ยาและการแพทย์ ท่องเที่ยวเครื่องสำอาง ฯ โดยมีอัตราการเติบโต 7.5% (2021-2025) และยังมีมูลค่าประมาณ 2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ
ซึ่งประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์ฮาลาล และอุตสาหกรรมฮาลาลไทยได้รับการยอมรับในหลายประเทศ โดยอาหารฮาลาล คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 20 ของการส่งออกอาหารทั้งหมดของประเทศไทยและร้อยละ 60 ของการส่งออกอาหารฮาลาลไปยังประเทศที่นับถือศาสนาอิสลาม ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และบรูไน คิดเป็นมูลค่าเกือบ 6 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2564/2565
โดยนายกรัฐมนตรี เห็นโอกาสในสินค้าฮาลาลของไทยมีศักยภาพสูง โดยเฉพาะในกลุ่ม Future food ที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง เป็นโอกาสที่จะใช้อุตสาหกรรมอาหารฮาลาลเป็นส่วนสำคัญต่อการขับเคลื่อนประเทศ และอยากผลักดันGastronomy Diplomacy โดยไทยเป็นประเทศแรกที่ผลักดันการทูตเชิงอาหาร อีกทั้งการสร้างองค์ความรู้ด้านอาหารให้ประเทศไทยเป็น Soft Power โดยอาหารไทยรูปแบบใหม่ ๆ จะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยว เปิดโอกาสให้ Start up ใหม่ ๆ ที่เกี่ยวข้องกับอาหารสามารถเกิดขึ้นได้