14 พ.ย. 66 - บล็อกเชน (Blockchain)
หนึ่งในเทคโนโลยีที่ถูกพูดถึงกันมาซักพัก ยิ่งในการแถลงข่าวเรื่องเงินดิจิตอลวอลเล็ตของนายกรัฐมนตรีเศรษฐา
ทวีสิน ก็มีการกล่าวถึง เทคโนโลยีบล็อกเชน
ด้วยเช่นกันว่ามาทำหน้าที่อยู่เบื้องหลัง อย่างสิ่งที่เรียกว่าบล็อกเชนมันคืออะไร
? และมีข้อดีข้อเสียอะไร?
บล็อกเชน (Blockchain)คือเทคโนโลยีการเก็บข้อมูลชนิดหนึ่ง
แต่เป็นการเก็บข้อมูลแบบกระจายกัน และมีการตรวจเช็คกันตลอดเวลา อธิบายง่าย ๆ
คือเทคโนโลยีที่มีการเก็บข้อมูลชิ้นหนึ่ง อาจจะเป็นประวัติของเรา
แต่เป็นการเก็บข้อมูลชุดเดียวกันนี้กระจายข้อมูลไปอย่างน้อย 1,000 เครื่องโดยแต่ละเครื่องถือเป็นบล็อก (Block) โดยแต่ละเครื่องโยงใยกันโดยการเชื่อมข้อมูลอินเตอร์เน็ตเหมือนเส้นใยที่เรียกว่าเชน
(Chain)
และข้อมูลถ้าต้องการแก้ไขต้องใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ทั้งหมดทำการแก้ไขพร้อมกันเท่านั้น
จึงจะมีการแก้ไขได้ และนอกจากนั้นตัวบล็อกแต่ละตัวหรือคอมพิวเตอร์แต่ละตัวยังมีการรีเช็คกันไปมาในแต่ละตัวว่าข้อมูลมีการแก้ไข
หรือขาดตกบกพร่องอะไรไปหรือไม่ รวมทั้งข้อมูลเมื่อถูกเก็บไว้ในแต่ละบล็อคแล้วยังไม่สามารถแก้ไขย้อนหลังได้
บล็อกเชนจึงกลายเป็นเทคโนโลยีที่มีความปลอดภัยสูงและแก้ไขได้ยากนั่นเองทำให้เทคโนโลยีนี้นำมาใช้ในวงการการเงินที่เราเรียกว่าหน่วยการเงินคริปโต
(Cryptocurrency) อย่างเช่น Bitcoin , Ethereum นั่นเอง ที่อาศัยแพลทฟอร์มการเข้ารหัสและรักษาข้อมูลจากบล็อกเชนมาทำหน้าที่เก็บรักษาการเงินดิจิตอลเหล่านี้
รวมทั้งยังมีการนำเอาเทคโนโลยีมาทำด้านการเกษตร การทำเรื่องการขนส่งโลจิสติกส์
เพื่อลดการใช้ข้อมูลกระดาษและสามารถสืบค้นจากต้นตอของพืชหรือสินค้าได้ว่าส่งมาจากไหน
หรือแม้กระทั่งการทำสัญญาที่ไม่ต้องผ่านตัวกลางเพราะบล็อกเชนจะกลายเป็นตัวแทนที่ไม่ต้องมีสถาบันเช่นธนาคาร
แต่บล็อกเชนจะเป็นตัวกลางเองแบบกระจายศูนย์ (Decentralization) ไม่มีตัวกลาง พึ่งพาระบบ Peer-to-Peer (P2P) ภายในเครือข่ายและส่งข้อมูลเกี่ยวกับธุรกรรมและบล็อกใหม่ทุกครั้ง โดยไม่มีความผิดพลาดของบุคคล
เพราะเทคโนโลยีไม่ใช่ตัวคน
เพราะฉะนั้นการทำสัญญาที่เข้าไปในบล็อกเชนแล้วการแก้ไขแทบจะเป็นไปไม่ได้
แล้วมันมีข้อดีข้อเสียอย่างไร
ข้อดีของบล็อกเชน (Blockchain)
มีความปลอดภัยสูง
เทคโนโลยีบล็อกเชนเป็นที่ยอมรับว่าปลอดภัยสูง
เนื่องจากการเก็บข้อมูลในแต่ละบล็อกต้องอาศัยบล็อกที่เชื่อมโยงกันกว่าหลายร้อยหรือหลายพัน
จนอาจจะถึงหมื่นละแสนบล็อก อธิบายง่าย ๆ
คือเครื่องคอมพิวเตอร์แสนเครื่องเก็บข้อมูลชิ้นเดียวกัน
และทุกเครื่องมีการรีเช็คข้อมูลต่อ ๆ กันตลอดเวลา
การแก้ไขต้องใช้คอมพิวเตอร์หรือบล็อกทั้งหมดแก้ไขพร้อมกันทีเดียว
ซึ่งเป็นไปได้ยากมาก จึงทำให้การเก็บข้อมูลต่าง ๆ
แม้กระทั่งเรื่องการเงินมีความปลอดภัยค่อนข้างสูง
มีความแม่นยำ ปราศจากตัวกลางที่เป็นมนุษย์ และกระจายศูนย์ (Decentralized)
สิ่งสำคัญของบล็อกเชนคือการที่ใช้ระบบในการรีเช็คกันเอง
ซึ่งจะช่วยลดความผิดพลาดของมนุษย์ที่จะมีความผิดพลาดได้ไม่มากก็น้อย
และทำให้ฝ่ายปลายทางสามารถตรวจสอบฝ่ายต้นทางได้อย่างง่ายได้ผ่านบล็อกเชนที่จะมีการบันทึกข้อมูลไว้ตั้งแต่ต้นทาง
ทำให้ข้อมูลทุกส่วนสามารถตรวจสอบได้
ความสะดวกรวดเร็ว
ปัจจุบันการส่งข้อมูลข้ามโลกแม้จะง่ายและรวดเร็ว
แต่หากต้องการส่งข้อมูลที่เป็นทางการก็ยังจะต้องใช้การส่งข้อมูลกระดาษอยู่
ซึ่งอาจจะใช้เวลาหลายวันถึงหลายเดือนในการส่งข้อมูลข้ามประเทศ
แต่เทคโนโลยีบล็อกเชนช่วยประหยัดเวลาได้เป็นอย่างมากอาจไม่กี่นาทีหรือบางทีบล็อกเชนอาจไม่ถึงนาที
ลดความเหลื่อมล้ำ
เทคโนโลยีบล็อกเชน สามารถลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงข้อมูลได้
เพราะหากมีการเข้าถึงข้อมูล เช่น เกษตรกรสามารถเอาข้อมูลของพืชที่ผลิตจากสถานที่ต้นทางเป็นข้อมูลที่อยู่ในบล็อคเชน
บล็อกเชนก็บันทึกข้อมูลเข้ามา เพราะฉะนั้นทุกคนบนโลก
หรือทุกประเทศก็จะมีข้อมูลทั้งการผลิตการเงินทุกอย่างอยู่บนบล็อกเชน
การเข้าถึงแหล่งการเงินก็อาจจะง่ายขึ้น
สถาบันการเงินก็จะอาศัยข้อมูลตรงนี้ในการอนุมัติเงินกู้ได้โดยไม่ต้องใช้หลักฐานกระดาษ
เพราะทุกอย่างอยู่บนบล็อกเชนหมดแล้ว
เช่นเดียวกับเวชระเบียนขอบคนไข้ที่หากใช้เทคโนโลยีนี้ข้อมูลทุกอย่างของคนไข้
วิธีการรักษา อาการต่าง ๆ
จะเป็นข้อมูลอยู่บนบล็อกเชนให้แพทย์สามารถเรียกดูได้ทุกที่ทั่วโลก
ข้อจำกัดและข้อเสียของบล็อกเชน (Blockchain)
ต้นทุนสูง
ต้องยอมรับว่าเทคโนโลยีบล็อกเชนต้องอาศัยทั้งพื้นที่และพลังงานอย่างสูงมากในการเก็บข้อมูล
รวมทั้งต้องเปิดตลอดเวลา และที่สำคัญไม่ควรนำเอาบล็อกแต่ละบล็อก
หรือคอมพิวเตอร์ที่ควบคุมมาอยู่ที่เดียวกัน เพราะเสี่ยงกับการโจมตีได้
จึงทำให้ต้องอาศัยทั้งสถานที่ คนดูแล และพลังงานในการเก็บข้อมูลบล็อกเชนทั้งหมด
มีความเป็นไปได้ที่จะถูกโจมตี
บล็อกเชนมีช่องโหว่ หากมีการเข้าไปแทรกแซงบล็อกจำนวน 51% ของทั้งระบบพร้อมกัน
อาจจะทำให้มีการแก้ไขหรือแทรกแซงข้อมูลได้ บล็อกเชนที่มีจำนวนบล็อกน้อยจึงมีความเป็นไปได้ที่จะถูกโจมตีได้
แต่ก็เป็นไปได้ยากหากมีจำนวนบล็อกจำนวนมากเช่นจำนวนหมื่นบล็อกจะต้องใช้จำนวนกว่า 5,100 บล็อกกดแก้ไขข้อมูลพร้อมกันภายในเสี้ยววินาทีถึงจะแก้ไขได้
ไม่มีการเชื่อมโยงกัน
แต่ละหน่วยงานพยายามจะสร้างบล็อกเชนของส่วนตัวขึ้นมาและพยายามให้หน่วยงานอื่น
ๆ มาใช้ข้อมูลภายในร่วมกัน จึงทำให้บล็อกเชนขยายไปแบบกระจาย ดูได้จากเงินคริปโต (Cryptocurrency) ที่มีหลากหลายหน่วย
หลากหลายยี่ห้อจำนวนมาก
จนกลายเป็นกระดานปั่นราคากันมากกว่าการสร้างหน่วยการเงินใหม่ที่ปราศจากตัวกลาง
กิจกรรมที่ผิดกฎหมาย
แม้ว่าเทคโนโลยีบล็อกเชนจะมีความแม่นยำและปลอดภัย รวมทั้งมีความเป็นส่วนตัวสูง
แต่ความเป็นส่วนตัวตรงนี้กลายเป็นช่องให้เหล่าอาชญากรรมใช้ในการเก็บข้อมูลของตัวเอง
รวมทั้งรับส่งข้อมูลผ่านการเงินในระบบบล็อกเชน เช่นเหล่าเงินคริปโต (Cryptocurrency) ที่อาชญากรสามารถปกปิดตัวตนได้
โดยใช้เหรียญเหล่านี้ในการซื้อขาย
เทคโนโลยีบล็อกเชนก็คือเทคโนโลยีการเก็บข้อมูลผ่านการเข้ารหัสรูปแบบหนึ่ง
ที่ไม่จำเป็นต้องมีตัวกลางเป็นเซฟเวอร์ใหญ่ ๆที่เดียวแล้ว
แต่เป็นการกระจายเก็บข้อมูลในที่ต่าง ๆ ซึ่งทำให้ยากแก้การโจมตีหรือแก้ไข
และส่วนที่รัฐบาลน่าจะเอาเข้ามาใช้กับเงินดิจิตอลนี้ก็คือการเก็บข้อมูลเพื่อป้องกันการโกงในส่วนต่าง
ๆ แต่จะออกมาในรูปแบบไหน คงจะมีความชัดเจนในอนาคต