X
เปิดตำนาน “หลวงพ่อโสธร” อีกหนึ่งพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของคนไทย

เปิดตำนาน “หลวงพ่อโสธร” อีกหนึ่งพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของคนไทย

31 มี.ค. 2566
1200 views
ขนาดตัวอักษร


เนื่องในโอกาสที่ “หลวงพ่อโสธร” และพระพุทธรูปบริวารบูรณะเสร็จสมบูรณ์ วันนี้เราจึงขอพาทุกท่านย้อนอดีต ความศรัทธาที่อยู่คู่กับคนไทยมาเนิ่นนานกับเรื่องราวตำนาน “องค์หลวงพ่อโสธร”

วัดโสธรวรารามวรวิหาร จ.ฉะเชิงเทรา ได้ดำเนินการบูรณะ “หลวงพ่อโสธร” โดยกองโบราณคดี กรมศิลปากร ทำหน้าที่ควบคุมงาน เริ่มตั้งแต่วันที่ 16 พ.ค. 2565-11 พ.ย. 2565 นั้น ล่าสุดเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2566 ที่ผ่านมา เพจเฟซบุ๊กวัดโสธร ได้เผยแพร่ภาพ “หลวงพ่อโสธรและพระพุทธรูปบริวาร” ที่บูรณะเสร็จสมบูรณ์ พร้อมเปิดให้พุทธศาสนิกชนเข้าสักการะได้แล้ว วันนี้เราจึงขอพาทุกท่านย้อนเรื่องราว เล่าอดีต กับตำนานความศรัทธาที่อยู่คู่กับคนไทยมาเนิ่นนานกับ “ตำนานหลวงพ่อโสธร”


ตามตำนานไม่ได้ระบุแน่ชัดว่าใครเป็นผู้สร้าง “หลวงพ่อโสธร”​และสร้างขึ้นเมื่อใด แต่ตามที่เล่าต่อ ๆ กันมาทราบว่า ในจังหวัดหนึ่งทางภาคเหนือของไทย มีพระภิกษุสามองค์พี่น้อง เรียนพระธรรมวินัยแตกฉานแล้วก็จำแลงกายเป็นพระพุทธรูป

เมื่อมาถึงบริเวณหนึ่งก็ปรากฏองค์ขึ้น ชาวบ้านบริเวณนั้นพบเข้าก็พากันเอาเชือกมนิลามาฉุดขึ้น แต่ก็เอาขึ้นมาไม่ได้เพราะเชือกขาด ก่อนที่พระทั้งสามองค์จะจมหายไปบริเวณที่พระทั้งสามองค์ลอยทวนน้ำหนีนั้นเรียกว่า สามพระทวน ต่อมาได้เพี้ยนและเรียกว่า สัมปทวน อำเภอเมืองฉะเชิงเทราจนทุกวันนี้

พระพุทธรูปองค์ที่หนึ่งได้ลอยไปจนถึงแม่น้ำแม่กลอง และไปปรากฏขึ้นที่สมุทรสงคราม ชาวประมงได้พร้อมใจกันอาราธนาขึ้นไปประดิษฐานไว้ที่วัดบ้านแหลมหรือวัดเพชรสมุทรวรวิหาร เป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์เป็นที่นับถือของพุทธศาสนิกชนชาวสมุทรสงคราม เรียกกันว่า “หลวงพ่อบ้านแหลม”

องค์ที่สองได้ลอยวนไปวนมาและมาผุดขึ้นหน้า “วัดหงษ์” เล่ากันว่า เดิมมีเสาใหญ่มีหงษ์ทำด้วยทองเหลืองอยู่บนยอดเสานั้น จึงได้ชื่อว่าวัดหงษ์ ต่อมาหงษ์ที่ยอดเสาหักตกลงมาเสียชำรุด ทางวัดจึงเอาธงไปติดไว้ที่ยอดเสาแทนรูปหงษ์ จึงได้ชื่อว่าวัดเสาธง แล้วต่อมาก็เกิดมีพายุพัดเสานี้หักลงส่วนหนึ่ง จึงได้ชื่อว่าวัดเสาทอน และต่อมาชื่อนี้ได้กลายไปเป็น “วัดโสธร”

ประชาชนอาราธนาฉุดขึ้นฝั่งแต่ก็ไม่สำเร็จ จนกระทั่งอาจารย์ผู้ทรงคุณวิเศษได้ทำพิธีปลูกศาลเพียงตาบวงสรวง กล่าวคำอัญเชิญชุมนุมเทวดาอาราธนา และได้ใช้สายสิญจน์คล้องที่พระหัตถ์ของพระพุทธรูป จึงเสด็จขึ้นมาบนฝั่งเป็นที่ปิติยินดีเป็นอย่างยิ่งของชาวเมือง จึงได้พร้อมใจกันอัญเชิญไปประดิษฐานไว้ที่ในพระวิหารวัดโสธร และเรียกนามว่า พระพุทธโสธร หรือ หลวงพ่อโสธร ตั้งแต่นั้นมา

ส่วนองค์สุดท้ายได้ลอยไปผุดขึ้นที่คลองสำโรง จังหวัดสมุทรปราการ ประชาชนจึงได้ได้อาราธนาขึ้นไปประดิษฐานไว้ที่วัดพลับพลาชัยชนะสงครามหรือวัดบางพลีใหญ่ในตราบจนทุกวันนี้ เป็นพระพุทธรูปที่ศักดิ์สิทธิ์มากอีกรูปหนึ่งของเมืองไทย คือ หลวงพ่อโต วัดบางพลีใหญ่ใน

“พระพุทธโสธร” เป็นพระพุทธรูปประทับนั่งขัดสมาธิราบแสดงปางสมาธิ ขนาดหน้าตักกว้าง 3 ศอก 5 นิ้ว หรือ 165 เซนติเมตร สูง 198 เซนติเมตร พระพักตร์ค่อนข้างกลมแป้น พระขนงโก่ง พระเนตรเล็กและเหลือบลงต่ำ ขมวดพระเกศาเล็ก พระรัศมีเป็นทรงสูง สัดส่วนพระอุระค่อนข้างเล็กเมื่อเทียบกับพระเพลาที่ดูกว้าง สังฆาฏิเป็นแผ่นใหญ่ยาวจรดพระนาภี ปลายแยกเป็นสองชายคล้ายเขี้ยวตะขาบ ด้วยลักษณะสำคัญเช่น พระพักตร์ พระเศียร พระรัศมี รูปแบบชายสังฆาฎิ 

จากการอนุรักษ์ครั้งสำคัญราวปี พ.ศ. 2543 โดยกรมศิลปากร ซึ่งมีนายสุวิชญ์ รัศมิภูติ อดีตอธิบดีกรมศิลปากร เป็นผู้ควบคุมการบูรณะในขณะนั้น พบว่าพระพุทธโสธรเป็นพระพุทธรูปที่แกะสลักจากหินทรายแยกเป็นชิ้นรวมจำนวน 11 ชิ้น นำมาประกอบเข้าด้วยกันและลงรักปิดทอง ซึ่งเป็นเทคนิคการสร้างพระพุทธรูปในสมัยอยุธยาตอนต้น 

ขอบคุณข้อมูลจาก : พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ปราจีนบุรี

Terms of Service © 2025 MCOT.net All rights reserved นโยบายข้อมูลส่วนบุคคล นโยบายการรักษาความมั่นคงปลอดภัยเว็บไซต์ นโยบายเว็บไซต์ของ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน)